วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2560

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

มะเร็งต่อมน้ำเหลืองคืออะไร
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง คือ มะเร็งที่เกิดขึ้นจากเซลล์ของต่อมน้ำเหลืองโดยตรง ส่วนมะเร็งที่ลุกลามจากอวัยวะอื่นแพร่กระจายเข้าต่อมน้ำเหลือง อาจทำให้เกิดอาการต่อมน้ำเหลืองโตได้ แต่ไม่เรียกว่า มะเร็งต่อมน้ำเหลือง แต่จะเรียกตามมะเร็ง ที่อวัยวะนั้นแพร่กระจายมาที่ต่อมน้ำเหลือง เช่น มะเร็งเต้านมลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ ทำให้ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้โต เซลล์ที่ต่อมน้ำเหลืองประกอบด้วยเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์เป็นส่วนใหญ่ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เกิดขึ้นจากเซลล์ลิมโฟไซต์ที่ต่อมน้ำเหลือง ซึ่งมีหลายชนิดต่างกัน เช่น เซลล์ลิมโฟไซต์ชนิดบีเซลล์บีและเซลล์ทีเป็นต้น เมื่อกลายเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจึงเรียกว่า โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือลิมโฟมา(lymphoma) ซึ่งคำว่าลิมโฟมามาจากคำว่าลิ้ม (lymph) แปลว่าน้ำเหลืองและโอมา(oma) แปลว่าก้อนเนื้องอก มะเร็งต่อมน้ำเหลืองมีกี่ชนิด เราสามารถแบ่งมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ง่ายๆเป็น2 ชนิด ดังนี้ 1. มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดคิน (Hodgkin lymphoma) ประกอบด้วยเซลล์ที่มีลักษณะจำเพาะชื่อเซลล์รีดสะเพินเบิรร์กและเซลล์ชนิดอื่นๆ 2. มะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ไม่ใช่ฮอดคิน (non-hogkin lymphoma) พบมากกว่ามะเร็งชนิดฮอดคินมากกว่า 8-9 เท่า และพบมากขึ้นเรื่อยๆโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดซึ่งมะเร็งชนิดนี้อาจแบ่งย่อยได้เป็น 3 ชนิด ดังนี้ ชนิดเกรดต่ำ เจริญเติบโตช้า ชนิดเกรดปานกลาง เจริญเติบโตปานกลาง ชนิดเกรดสูง เจริญเติบโตเร็วและการดำเนินโรครุนแรงกว่าชนิดอื่น
การแบ่งระยะของโรค มะเร็งต่อมน้ำเหลืองแบ่งเป็น 4 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 มะเร็งต่อมน้ำเหลืองอยู่ที่ต่อมน้ำเหลืองตำแหน่งเดียว ระยะที่ 2 มะเร็งต่อมน้ำเหลืองอยู่ 2 ตำแหน่งหรือมากกว่าด้านเดียวกันของกระบังลม ระยะที่ 3 มะเร็งต่อมน้ำเหลืองอยู่ทั้ง 2 ด้านของกระบังลม ระยะที่ 4 มะเร็งต่อมน้ำเหลืองเกิดนอกต่อมน้ำเหลืองหรือลุกลามเข้าสู่ไขกระดูก ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค สาเหตุของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองยังไม่ทราบแน่ชัดในปัจจุบันนี้ อย่างไรก็ตามพบว่ามีปัจจัยเสี่ยงบางประการที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองดังนี้ 1. กัมมันตภาพรังสี ผู้ที่รอดชีวิตจากระเบิดปรมณูในสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดเป็นมะเร็งหลายชนิด รวมทั้งมะเร็งต่อมน้ำเหลือง และผู้ที่เคยมีประวัติฉายแสงอาจพบมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ แสดงว่ารังสีเป็นสาเหตุหนึ่งของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง 2. การติดเชื้อไวรัส การตรวจเนื้อเยื่อของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองพบว่ามีเชื้อไวรัสชนิดเอ็พสะไตน์บาร์ และมีเมื่อนำเชื้อไวรัสดังกล่าวใส่ในเซลล์เพาะเลี้ยง สามารถทำให้เซลล์ต่อมน้ำเหลืองเป็นอมตะแบ่งตัวได้เรื่อยๆ ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของเซลล์มะเร็ง แสดงถึงความเกี่ยวข้องระหว่างการติดเชื้อไวรัสและโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง 3. โรคเอดส์ ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ส่งผลทำให้เกิดการติดเชื้อหลายชนิดได้ง่าย และทำให้เกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง รวมทั้งมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่เกิดในสมองได้ด้วย 4. ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ฟอกไต มีโอกาสเกิดมะเร็งได้หลายชนิดเนื่องจากภูมิคุ้มกันต่ำ และอาจเป็นผลทางอ้อมจาการติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น ไวรัสเอ็พสะไตน์บาร์ ส่งผลให้เกิดเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ 5. การติดเชื้อแบคทีเรียเฮอลิโคแบคเตอร์ไพโลไรที่กระเพาะอาหาร ทำให้เกิดแผลที่กระเพาะอาหาร กระเพาะอาการอักเสบ มะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่กระเพาะอาหารได้ การรักษาการติดเชื้อดังกล่าวด้วยยาปฏิชีวนะและยาลดกรดจะสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งที่กระเพาะอาหารจากเชื้อดังกล่าวได้ นอกจากนี้ในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่กระเพาะอาหารการักษาโรคติดเชื้อดังกล่าวร่วมกับการรักษาโรคมะเร็ง สามารถควบคุมโรคที่มากกว่าสองในสามของผู้ป่วย 6. ผู้ป่วยที่เปลี่ยนอวัยวะ เช่น เปลี่ยนไต ต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกันเพื่อไม่ให้อวัยวะที่เปลี่ยนเน่าสลาย การที่ภูมิคุ้มกันต่ำจากยาทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ง่ายขึ้นโดยเฉพาะมะเร็งต่อมน้ำเหลือง 7. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องตั้งแต่กำเนิด เช่น โรคขาดแกมม่าโกลบูลิน โรควิสคอตต์ อัลดริช เกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้มากกว่าคนปกติ 8. โรคภูมิคุ้มกันต่อตนเอง (autoimmune diseases) เช่น โรคโจเกร้น โรคต่อมทัยรอยด์อักเสบฮาชิโมโต้ โรคเอสแอลอี โรครูมาตอยด์ อาจเกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ 9. ไวรัสที่เซลล์ลิมโฟโทรฟิคชนิดหนึ่ง ทำให้เกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดที่เซลล์ลิวคิเมียลิมโฟมาในผู้ใหญ่ 10. ไวรัสตับอักเสบชนิดซี มีรายงานว่าเกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดโตช้า 11. อายุและเพศ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองบางชนิดพบบ่อยในผู้ป่วยอายุน้อย บางชนิดพบในผู้ป่วยอายุมาก เพศชายเพศหญิงพบมะเร็งต่อมน้ำเหลืองบ่อยต่างชนิดกันได้ 12. เศรษฐานะ พบว่าผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอชคินพบบ่อยในผู้ป่วยที่มีเศรษฐานะดีและมีการศึกษาดี แต่ไม่ทราบสาเหตุชัดเจน อาการและอาการแสดง อาการที่พบบ่อย คือ ต่อมน้ำเหลืองโตไม่เจ็บ เช่น คลำก้อนได้ที่คอ ที่ขาหนีบ หรือในร่องเหนือกระดูกไหปลาร้า อาการทั่วไปที่พบคือ เบื่ออาหาร น้ำหลักลด และผอมลง เหงื่อแตกตอนกลางคืน มีไข้ไม่ทราบสาเหตุ คันตามตัว ปวดเวลาดื่มเหล้า ปวดหลังเนื่องจากต่อมน้ำเหลืองหลังช่องท้องโต ปวดกระดูกจากมะเร็งทำลายกระดูก ปวดท้องจากอาการตับโตหรือม้ามโต ต่อมน้ำเหลืองในช่องท้องโต หรือไตบวมจากต่อมน้ำเหลืองข้างท่อไตโตกดท่อไต ปวดประสาทจากมะเร็งกดไขสันหลังกดเส้นประสาทการตรวจร่างกายอาจพบต่อน้ำเหลืองโตหลายตำแหน่ง หลายก้อนคลำต่อมน้ำเหลืองที่โตจะรู้สึกแข็งหยุ่นๆ อาจกดเจ็บได้ อาจพบต่อมทอนซิลโตและต่อมน้ำเหลืองที่คอหอยโต รวมเรียกว่าวงแหวนวาลเดเยอร์ อาจพบตับม้ามโตหรือมีก้อนในท้อง การวินิจฉัยโรค เมื่อมีอาการและการตรวจที่สงสัยว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ต้องยืนยันการวินิจฉัยด้วยการตัดต่อมน้ำเหลืองที่โตมาตรวจทางพยาธิวิทยา โดยตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ดูลักษณะของเซลล์มะเร็ง ย้อมพิเศษตรวจแยกชนิดของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง บางครั้งอาจต้องตรวจเนื้อเยื่อด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็คตรอนหรือตรวจดีเอนเอเมื่อทราบว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองการตรวจขั้นต่อไปคือ การตรวจหารระยะของโรค นิยมตรวจด้วยการเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ของปอดและช่องท้อง เจาะไขกระดูกตรวจว่ามะเร็งเข้าไขกระดูกหรือไม่ ในสมัยก่อนมีการฉีดสีเข้าสายน้ำเหลืองที่เท้าทั้งสองข้าง เพื่อตรวจต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง ซึ่งทำได้ยาก ดังนั้นในปัจจุบันนี้จึงไม่นิยมการตรวจด้วยการฉีดสีเข้าสายน้ำเหลืองถ้าสงสัยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองอยู่ในทางเดินอาหาร ต้องตรวจด้วยการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่กระเพาะอาการหรือกลืนแป้งตรวจลำไส้เล็ก นอกจากนี้ยังมีการเจาะเลือดตรวจเม็ดเลือด การทำงานของตับไตระดับกรดยูริกและแคลเซี่ยมในเลือด ระดับอิมมูโนโคลบูลินในเลือด ในปัจจุบันนี้การตรวจเพ็ทสแกนและเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์มีความไวและการจำเพาะในการตรวจรอยโรคและระยะของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ดีกว่าเอ็กซเรย์ทั่วไปแต่มีราคาสูงกว่าการตรวจแกลเลี่ยมสแกน ช่วยบอกว่ามีรอยโรคเหลืออยู่ภายหลังการรักษาหรือไม่ โดยเฉพาะที่ต่อมน้ำเหลืองกลางทรวงอกหรือหลังช่องท้อง ผู้ป่วยที่มีอาการทางสมองอาจต้องตรวจเอ็กซเรย์สนามแม่เหล็ก(เอ็มอาร์ไอ) หรือเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์สมอง ถ้าสงสัยมะเร็งเข้าเยื่อหุ้มไขสันหลังอาจต้องเจาะน้ำไขสันหลังตรวจเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดเบอร์กิตหรือชนิดลิมโฟ บลาสติก การรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งต่อมน้ำเหลืองจัดอยู่ในกลุ่มมะเร็งที่ไวต่อรังสีรักษาและยาเคมีบำบัด สามารถรักษาให้หายขาดได้ มีวิธีรักษาหลายวิธีดังนี้ 1. รังสีรักษา : การฉายแสงรังสีรักษาสามารถควบคุมมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ดี ทำให้ก้อนมะเร็งยุบได้อย่างรวดเร็ว 2. ยาเคมีบำบัด : มะเร็งต่อมน้ำเหลืองสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาเคมีบำบัดหลายชนิดร่วมกัน ยาที่นิยมใช้คือสูตรยาช๊อป(CHOP) ซึ่งย่อมมาจาก ยาไซโคลฟอสฟาไมด์ ยาเอเดรียมัยซิน ยาออนโควินหรือวินคริสตีน ยาเพร็ดนิโซโลน 3. ยาสเตียรอยด์ : มะเร็งต่อมน้ำเหลืองตอบสนองดีต่อยาสะเตียรอยด์ แต่จะได้ผลดีเมื่อใช้ร่วมกับยาเคมีบำบัด 4. การเปลี่ยนไขกระดูก : การให้ยาเคมีบำบัดขนาดสูงร่วมกับการเปลี่ยนไขกระดูกหรือปลูกถ่ายเซลล์ตัวอ่อนของไขกระดูก ทำให้การตอบสนองต่อยาดีขึ้น 5. ยารักษาตามเป้าหมาย ยาแอนติบอดีต่อซีดี30 ที่ผิวเซลล์มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดบีเซลล์ จัดเป็นยาที่รักษาตามเป้าหมาย สามารถใช้รักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดบีเซลล์ได้ผลดี โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ดื้อยาเคมีบำบัดหรือโรคเป็นซ้ำ ชื่อยาเรทูซิแม๊พยาแอนติบอดีติดฉลากสารกัมมันตรังสี ให้การตอบสนองสูงถึงร้อยละ50-80 เช่น ยาแอนติบอดีต่อซีดี20 ที่ผิวเซลล์มะเร็งต่อมน้ำเหลืองติดฉลากด้วยสารกัมมันตรังสียิบเทรียม90 ชื่อยา ไอบริทูโมแม๊พ เป็นต้น 6. อิมมูนบำบัด : ยาอินเตอเฟียรอนอัลฟ่า ใช้รักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้โดยเฉพาะชนิดโฟลิคูลาร์ 7. ยาเคมีบำบัดชนิดทา : มะเร็งต่อมน้ำเหลืองอาจเกิดที่ผิวหนังได้เรียกว่าโรคลิมโฟมาคิวทิส สามารถรักษาด้วยการฉายแสงรังสีอิเล็คตรอนที่ผิวหนัง รักษาด้วยยาเคมีบำบัดชนิดทา หรือฉีดยาเคมีบำบัดรักษาได้ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นมะเร็งที่ไวต่อยาหลายชนิดและรังสีรักษามีการพยากรณ์โรคที่ดีเมื่อเปรียบเทียบกับมะเร็งชนิดอื่นๆ สามารถรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้นควรจะวินิจฉัยให้ถูกต้องตั้งแต่ระยะแรกๆ และรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสมสำหรับมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแต่ละชนิดแต่ระยะ และเลือกการรักษาที่มีประสิทธิภาพดี ถึงแม้ผู้ป่วยจะหายจากโรคแล้ว จำเป็นต้องติดตามและประเมินผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจการกลับเป็นซ้ำของโรค หรือการเกิดมะเร็งชนิดอื่น รวมทั้งผลข้างเคียงระยะยาวที่เกิดจากการรักษา ตลอดจนการฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยให้ฟื้นฟูกลับสู่สภาพปกติ การรักษาโรคอื่นของผู้ป่วยที่เป็นร่วมด้วยมีความสำคัญที่จะช่วยให้ผลการรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองดีขึ้น เช่น การรักษาโรคเอดส์ที่เป็นร่วมกับมะเร็งต่อมน้ำเหลือง การรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียเฮอลิโคแบคเตอร์ไพโรไล เป็นต้น ที่มา : http://www.siamca.com/knowledge-id159.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น