วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2560

มะเร็งรังไข่

มะเร็งรังไข่ (ovarian cancer) เป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 2 ของมะเร็งระบบอวัยวะสืบพันธุ์สตรี พบได้ในผู้หญิงหลายช่วงวัยทั้งในวัยเด็กและวัยเจริญพันธุ์ แต่มักพบมากในผู้หญิงที่มีอายุ 40-60 ปี โรคนี้เกิดจากการที่มีเซลล์มะเร็งเจริญเติบโตในรังไข่ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญที่มีหน้าที่ในการผลิตไข่และฮอร์โมนเพศหญิง • สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งรังไข่ • อาการของโรคมะเร็งรังไข่ • แนวทางการรักษาโรคมะเร็งรังไข่ • การป้องกัน
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งรังไข่ ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของมะเร็งรังไข่ แต่มีผลงานวิจัยที่พบปัจจัยเสี่ยงที่อาจมีความเกี่ยวข้องกับโรคนี้ ดังนี้ • คนในครอบครัวโดยเฉพาะมารดา พี่สาว/น้องสาว หรือลูกสาวมีประวัติสุขภาพเคยเป็นมะเร็งรังไข่ • อายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป • มีประจำเดือนครั้งแรกก่อนอายุ 12 ปี • ยังไม่เคยตั้งครรภ์/คลอดบุตร • คลอดบุตรคนแรกหลังจากอายุ 30 ปีแล้ว • หมดประจำเดือนช้ากว่าอายุ 55 ปี • มีประวัติสุขภาพเคยเป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งลำไส้ อาการของโรคมะเร็งรังไข่ มะเร็งรังไข่ในระยะแรกอาจไม่มีอาการแสดง แต่หากมีอาการดังต่อไปนี้ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติม • รู้สึกอึดอัดในช่องท้อง • อาหารไม่ย่อย ท้องอืดท้องเฟ้อ หรือปวดท้อง • รู้สึกอิ่มจนอึดอัดถึงแม้รับประทานอาหารอ่อนๆ • คลื่นไส้ • ท้องเสีย ท้องผูก • ปัสสาวะบ่อย • เบื่ออาหาร • มีเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด
แนวทางการรักษาโรคมะเร็งรังไข่ การรักษาโรคมะเร็งรังไข่ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระยะของการดำเนินของโรค ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้ประเมินแนวทางการรักษาอย่างเหมาะสมให้กับผู้ป่วยแต่ละราย แนวทางการรักษาโรคมะเร็งรังไข่ ได้แก่ • การผ่าตัด หากแพทย์วินิจฉัยว่าเซลล์มะเร็งที่เจริญเติบโตในรังไข่ยังมีขนาดไม่ใหญ่และยังไม่มีการลุกลามมาก แพทย์จะพิจารณารักษาด้วยการผ่าตัดเพื่อนำเอาก้อนมะเร็งและเนื้อเยื่อรอบๆ ออก หรืออาจผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองในบริเวณใกล้เคียงออกด้วย • การใช้เคมีบำบัด เป็นการใช้ยาในการฆ่าเซลล์มะเร็ง เคมีบำบัดมีอยู่หลายรูปแบบ เช่น การใช้ยาเม็ด ยาฉีด หรือฉีดผ่านสายเข้าร่างกาย เมื่อยาเข้าสู่กระแสเลือดแล้วจะเดินทางไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายและฆ่าเซลล์มะเร็งที่อยู่ในร่างกาย (แต่ก็ส่งผลฆ่าเซลล์ร่างกายที่ดีด้วยเช่นกัน) • การใช้รังสีรักษา เป็นการใช้รังสีเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งและทำให้ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กลง การใช้รังสีนั้นอาจเป็นการฉายรังสีจากภายนอกร่างกายและฉายตรงเข้าสู่ร่างกาย การป้องกัน ปัจจุบันยังไม่มีแนวทางเฉพาะสำหรับการป้องกันมะเร็งรังไข่ เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคนี้ อีกทั้งมะเร็งรังไข่ในระยะแรกๆ มักไม่แสดงอาการ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือหมั่นสังเกตสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกาย รวมทั้งตรวจสุขภาพและตรวจภายในหรือทำอัลตราซาวนด์ช่องท้องอย่างน้อยปีละครั้งเพื่อตรวจเช็กว่ามีก้อนในช่องท้องหรือไม่ ที่มา : https://www.bumrungrad.com/th/women-center-health-obgyn-bangkok-thailand/conditions/ovarian-cancer

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

มะเร็งต่อมน้ำเหลืองคืออะไร
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง คือ มะเร็งที่เกิดขึ้นจากเซลล์ของต่อมน้ำเหลืองโดยตรง ส่วนมะเร็งที่ลุกลามจากอวัยวะอื่นแพร่กระจายเข้าต่อมน้ำเหลือง อาจทำให้เกิดอาการต่อมน้ำเหลืองโตได้ แต่ไม่เรียกว่า มะเร็งต่อมน้ำเหลือง แต่จะเรียกตามมะเร็ง ที่อวัยวะนั้นแพร่กระจายมาที่ต่อมน้ำเหลือง เช่น มะเร็งเต้านมลุกลามไปที่ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ ทำให้ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้โต เซลล์ที่ต่อมน้ำเหลืองประกอบด้วยเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดลิมโฟไซต์เป็นส่วนใหญ่ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เกิดขึ้นจากเซลล์ลิมโฟไซต์ที่ต่อมน้ำเหลือง ซึ่งมีหลายชนิดต่างกัน เช่น เซลล์ลิมโฟไซต์ชนิดบีเซลล์บีและเซลล์ทีเป็นต้น เมื่อกลายเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองจึงเรียกว่า โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือลิมโฟมา(lymphoma) ซึ่งคำว่าลิมโฟมามาจากคำว่าลิ้ม (lymph) แปลว่าน้ำเหลืองและโอมา(oma) แปลว่าก้อนเนื้องอก มะเร็งต่อมน้ำเหลืองมีกี่ชนิด เราสามารถแบ่งมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ง่ายๆเป็น2 ชนิด ดังนี้ 1. มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอดคิน (Hodgkin lymphoma) ประกอบด้วยเซลล์ที่มีลักษณะจำเพาะชื่อเซลล์รีดสะเพินเบิรร์กและเซลล์ชนิดอื่นๆ 2. มะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ไม่ใช่ฮอดคิน (non-hogkin lymphoma) พบมากกว่ามะเร็งชนิดฮอดคินมากกว่า 8-9 เท่า และพบมากขึ้นเรื่อยๆโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดซึ่งมะเร็งชนิดนี้อาจแบ่งย่อยได้เป็น 3 ชนิด ดังนี้ ชนิดเกรดต่ำ เจริญเติบโตช้า ชนิดเกรดปานกลาง เจริญเติบโตปานกลาง ชนิดเกรดสูง เจริญเติบโตเร็วและการดำเนินโรครุนแรงกว่าชนิดอื่น
การแบ่งระยะของโรค มะเร็งต่อมน้ำเหลืองแบ่งเป็น 4 ระยะ ดังนี้ ระยะที่ 1 มะเร็งต่อมน้ำเหลืองอยู่ที่ต่อมน้ำเหลืองตำแหน่งเดียว ระยะที่ 2 มะเร็งต่อมน้ำเหลืองอยู่ 2 ตำแหน่งหรือมากกว่าด้านเดียวกันของกระบังลม ระยะที่ 3 มะเร็งต่อมน้ำเหลืองอยู่ทั้ง 2 ด้านของกระบังลม ระยะที่ 4 มะเร็งต่อมน้ำเหลืองเกิดนอกต่อมน้ำเหลืองหรือลุกลามเข้าสู่ไขกระดูก ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค สาเหตุของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองยังไม่ทราบแน่ชัดในปัจจุบันนี้ อย่างไรก็ตามพบว่ามีปัจจัยเสี่ยงบางประการที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองดังนี้ 1. กัมมันตภาพรังสี ผู้ที่รอดชีวิตจากระเบิดปรมณูในสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดเป็นมะเร็งหลายชนิด รวมทั้งมะเร็งต่อมน้ำเหลือง และผู้ที่เคยมีประวัติฉายแสงอาจพบมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ แสดงว่ารังสีเป็นสาเหตุหนึ่งของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง 2. การติดเชื้อไวรัส การตรวจเนื้อเยื่อของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองพบว่ามีเชื้อไวรัสชนิดเอ็พสะไตน์บาร์ และมีเมื่อนำเชื้อไวรัสดังกล่าวใส่ในเซลล์เพาะเลี้ยง สามารถทำให้เซลล์ต่อมน้ำเหลืองเป็นอมตะแบ่งตัวได้เรื่อยๆ ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของเซลล์มะเร็ง แสดงถึงความเกี่ยวข้องระหว่างการติดเชื้อไวรัสและโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง 3. โรคเอดส์ ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ส่งผลทำให้เกิดการติดเชื้อหลายชนิดได้ง่าย และทำให้เกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลือง รวมทั้งมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่เกิดในสมองได้ด้วย 4. ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ฟอกไต มีโอกาสเกิดมะเร็งได้หลายชนิดเนื่องจากภูมิคุ้มกันต่ำ และอาจเป็นผลทางอ้อมจาการติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น ไวรัสเอ็พสะไตน์บาร์ ส่งผลให้เกิดเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ 5. การติดเชื้อแบคทีเรียเฮอลิโคแบคเตอร์ไพโลไรที่กระเพาะอาหาร ทำให้เกิดแผลที่กระเพาะอาหาร กระเพาะอาการอักเสบ มะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่กระเพาะอาหารได้ การรักษาการติดเชื้อดังกล่าวด้วยยาปฏิชีวนะและยาลดกรดจะสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งที่กระเพาะอาหารจากเชื้อดังกล่าวได้ นอกจากนี้ในผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่กระเพาะอาหารการักษาโรคติดเชื้อดังกล่าวร่วมกับการรักษาโรคมะเร็ง สามารถควบคุมโรคที่มากกว่าสองในสามของผู้ป่วย 6. ผู้ป่วยที่เปลี่ยนอวัยวะ เช่น เปลี่ยนไต ต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกันเพื่อไม่ให้อวัยวะที่เปลี่ยนเน่าสลาย การที่ภูมิคุ้มกันต่ำจากยาทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ง่ายขึ้นโดยเฉพาะมะเร็งต่อมน้ำเหลือง 7. ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องตั้งแต่กำเนิด เช่น โรคขาดแกมม่าโกลบูลิน โรควิสคอตต์ อัลดริช เกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้มากกว่าคนปกติ 8. โรคภูมิคุ้มกันต่อตนเอง (autoimmune diseases) เช่น โรคโจเกร้น โรคต่อมทัยรอยด์อักเสบฮาชิโมโต้ โรคเอสแอลอี โรครูมาตอยด์ อาจเกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ 9. ไวรัสที่เซลล์ลิมโฟโทรฟิคชนิดหนึ่ง ทำให้เกิดโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดที่เซลล์ลิวคิเมียลิมโฟมาในผู้ใหญ่ 10. ไวรัสตับอักเสบชนิดซี มีรายงานว่าเกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดโตช้า 11. อายุและเพศ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองบางชนิดพบบ่อยในผู้ป่วยอายุน้อย บางชนิดพบในผู้ป่วยอายุมาก เพศชายเพศหญิงพบมะเร็งต่อมน้ำเหลืองบ่อยต่างชนิดกันได้ 12. เศรษฐานะ พบว่าผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดฮอชคินพบบ่อยในผู้ป่วยที่มีเศรษฐานะดีและมีการศึกษาดี แต่ไม่ทราบสาเหตุชัดเจน อาการและอาการแสดง อาการที่พบบ่อย คือ ต่อมน้ำเหลืองโตไม่เจ็บ เช่น คลำก้อนได้ที่คอ ที่ขาหนีบ หรือในร่องเหนือกระดูกไหปลาร้า อาการทั่วไปที่พบคือ เบื่ออาหาร น้ำหลักลด และผอมลง เหงื่อแตกตอนกลางคืน มีไข้ไม่ทราบสาเหตุ คันตามตัว ปวดเวลาดื่มเหล้า ปวดหลังเนื่องจากต่อมน้ำเหลืองหลังช่องท้องโต ปวดกระดูกจากมะเร็งทำลายกระดูก ปวดท้องจากอาการตับโตหรือม้ามโต ต่อมน้ำเหลืองในช่องท้องโต หรือไตบวมจากต่อมน้ำเหลืองข้างท่อไตโตกดท่อไต ปวดประสาทจากมะเร็งกดไขสันหลังกดเส้นประสาทการตรวจร่างกายอาจพบต่อน้ำเหลืองโตหลายตำแหน่ง หลายก้อนคลำต่อมน้ำเหลืองที่โตจะรู้สึกแข็งหยุ่นๆ อาจกดเจ็บได้ อาจพบต่อมทอนซิลโตและต่อมน้ำเหลืองที่คอหอยโต รวมเรียกว่าวงแหวนวาลเดเยอร์ อาจพบตับม้ามโตหรือมีก้อนในท้อง การวินิจฉัยโรค เมื่อมีอาการและการตรวจที่สงสัยว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ต้องยืนยันการวินิจฉัยด้วยการตัดต่อมน้ำเหลืองที่โตมาตรวจทางพยาธิวิทยา โดยตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ดูลักษณะของเซลล์มะเร็ง ย้อมพิเศษตรวจแยกชนิดของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง บางครั้งอาจต้องตรวจเนื้อเยื่อด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็คตรอนหรือตรวจดีเอนเอเมื่อทราบว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองการตรวจขั้นต่อไปคือ การตรวจหารระยะของโรค นิยมตรวจด้วยการเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ของปอดและช่องท้อง เจาะไขกระดูกตรวจว่ามะเร็งเข้าไขกระดูกหรือไม่ ในสมัยก่อนมีการฉีดสีเข้าสายน้ำเหลืองที่เท้าทั้งสองข้าง เพื่อตรวจต่อมน้ำเหลืองในช่องท้อง ซึ่งทำได้ยาก ดังนั้นในปัจจุบันนี้จึงไม่นิยมการตรวจด้วยการฉีดสีเข้าสายน้ำเหลืองถ้าสงสัยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองอยู่ในทางเดินอาหาร ต้องตรวจด้วยการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่กระเพาะอาการหรือกลืนแป้งตรวจลำไส้เล็ก นอกจากนี้ยังมีการเจาะเลือดตรวจเม็ดเลือด การทำงานของตับไตระดับกรดยูริกและแคลเซี่ยมในเลือด ระดับอิมมูโนโคลบูลินในเลือด ในปัจจุบันนี้การตรวจเพ็ทสแกนและเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์มีความไวและการจำเพาะในการตรวจรอยโรคและระยะของมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ดีกว่าเอ็กซเรย์ทั่วไปแต่มีราคาสูงกว่าการตรวจแกลเลี่ยมสแกน ช่วยบอกว่ามีรอยโรคเหลืออยู่ภายหลังการรักษาหรือไม่ โดยเฉพาะที่ต่อมน้ำเหลืองกลางทรวงอกหรือหลังช่องท้อง ผู้ป่วยที่มีอาการทางสมองอาจต้องตรวจเอ็กซเรย์สนามแม่เหล็ก(เอ็มอาร์ไอ) หรือเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์สมอง ถ้าสงสัยมะเร็งเข้าเยื่อหุ้มไขสันหลังอาจต้องเจาะน้ำไขสันหลังตรวจเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดเบอร์กิตหรือชนิดลิมโฟ บลาสติก การรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งต่อมน้ำเหลืองจัดอยู่ในกลุ่มมะเร็งที่ไวต่อรังสีรักษาและยาเคมีบำบัด สามารถรักษาให้หายขาดได้ มีวิธีรักษาหลายวิธีดังนี้ 1. รังสีรักษา : การฉายแสงรังสีรักษาสามารถควบคุมมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ดี ทำให้ก้อนมะเร็งยุบได้อย่างรวดเร็ว 2. ยาเคมีบำบัด : มะเร็งต่อมน้ำเหลืองสามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาเคมีบำบัดหลายชนิดร่วมกัน ยาที่นิยมใช้คือสูตรยาช๊อป(CHOP) ซึ่งย่อมมาจาก ยาไซโคลฟอสฟาไมด์ ยาเอเดรียมัยซิน ยาออนโควินหรือวินคริสตีน ยาเพร็ดนิโซโลน 3. ยาสเตียรอยด์ : มะเร็งต่อมน้ำเหลืองตอบสนองดีต่อยาสะเตียรอยด์ แต่จะได้ผลดีเมื่อใช้ร่วมกับยาเคมีบำบัด 4. การเปลี่ยนไขกระดูก : การให้ยาเคมีบำบัดขนาดสูงร่วมกับการเปลี่ยนไขกระดูกหรือปลูกถ่ายเซลล์ตัวอ่อนของไขกระดูก ทำให้การตอบสนองต่อยาดีขึ้น 5. ยารักษาตามเป้าหมาย ยาแอนติบอดีต่อซีดี30 ที่ผิวเซลล์มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดบีเซลล์ จัดเป็นยาที่รักษาตามเป้าหมาย สามารถใช้รักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดบีเซลล์ได้ผลดี โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ดื้อยาเคมีบำบัดหรือโรคเป็นซ้ำ ชื่อยาเรทูซิแม๊พยาแอนติบอดีติดฉลากสารกัมมันตรังสี ให้การตอบสนองสูงถึงร้อยละ50-80 เช่น ยาแอนติบอดีต่อซีดี20 ที่ผิวเซลล์มะเร็งต่อมน้ำเหลืองติดฉลากด้วยสารกัมมันตรังสียิบเทรียม90 ชื่อยา ไอบริทูโมแม๊พ เป็นต้น 6. อิมมูนบำบัด : ยาอินเตอเฟียรอนอัลฟ่า ใช้รักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้โดยเฉพาะชนิดโฟลิคูลาร์ 7. ยาเคมีบำบัดชนิดทา : มะเร็งต่อมน้ำเหลืองอาจเกิดที่ผิวหนังได้เรียกว่าโรคลิมโฟมาคิวทิส สามารถรักษาด้วยการฉายแสงรังสีอิเล็คตรอนที่ผิวหนัง รักษาด้วยยาเคมีบำบัดชนิดทา หรือฉีดยาเคมีบำบัดรักษาได้ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นมะเร็งที่ไวต่อยาหลายชนิดและรังสีรักษามีการพยากรณ์โรคที่ดีเมื่อเปรียบเทียบกับมะเร็งชนิดอื่นๆ สามารถรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้นควรจะวินิจฉัยให้ถูกต้องตั้งแต่ระยะแรกๆ และรักษาด้วยวิธีที่เหมาะสมสำหรับมะเร็งต่อมน้ำเหลืองแต่ละชนิดแต่ระยะ และเลือกการรักษาที่มีประสิทธิภาพดี ถึงแม้ผู้ป่วยจะหายจากโรคแล้ว จำเป็นต้องติดตามและประเมินผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจการกลับเป็นซ้ำของโรค หรือการเกิดมะเร็งชนิดอื่น รวมทั้งผลข้างเคียงระยะยาวที่เกิดจากการรักษา ตลอดจนการฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยให้ฟื้นฟูกลับสู่สภาพปกติ การรักษาโรคอื่นของผู้ป่วยที่เป็นร่วมด้วยมีความสำคัญที่จะช่วยให้ผลการรักษาโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองดีขึ้น เช่น การรักษาโรคเอดส์ที่เป็นร่วมกับมะเร็งต่อมน้ำเหลือง การรักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียเฮอลิโคแบคเตอร์ไพโรไล เป็นต้น ที่มา : http://www.siamca.com/knowledge-id159.html

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2560

โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ปัสสาวะขัด

ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก ต่อมลูกหมาก (prostate gland) เป็นอวัยวะที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบสืบพันธุ์และระบบปัสสาวะชาย ทำหน้าที่ผลิตน้ำหล่อลื่น (seminal fluid) ที่อยู่ในน้ำอสุจิ (semen) ต่อมลูกหมากตั้งอยู่ที่ฐานของกระเพาะปัสสาวะ (bladder) ตัวต่อมแบ่งเป็นสองซีก (lobe) มีท่อปัสสาวะ (urethra) อยู่ตรงกลาง ดังรูป
รูปที่ 1 Anatomy of prostate gland จากสถิติใน USA พบว่าในปี ค.ศ. 2014 คาดว่าจะพบผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากที่ได้รับการวินิจฉัยใหม่จำนวนถึง 233,000 คน คิดเป็นร้อยละ 24 ของมะเร็งทั้งหมด อย่างไรก็ตาม อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากเป็นอันดับสองรองจากมะเร็งปอด ล่าสุดจำนวนผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากที่เสียชีวิตในปี ค.ศ.2014 เท่ากับ 29,480 คน อัตราการเสียชีวิตของมะเร็งต่อมลูกหมากที่น้อยกว่าอาจเนื่องด้วยเซลมะเร็งต่อมลูกหมากมีการกระจายตัวช้ากว่า รวมทั้งการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากที่ทำให้วินิจฉัยมะเร็งได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ทำให้ผลการรักษาดีขึ้น การวินิจฉัยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งต่อมลูกหมากพบบ่อยในชายอายุเฉลี่ยประมาณ 70 ปี ผู้ป่วยมักมาปรึกษาแพทย์ด้วยอาการปัสสาวะติดขัด ปัสสาวะไม่ออก หรือปัสสาวะมีเลือดปน ในปัจจุบันสามารถตรวจวินิจฉัยมะเร็งต่อมลูกหมากได้เร็วขึ้นจากการตรวจคัดกรองด้วยการใช้นิ้วคลำทางทวาร และการตรวจหาสาร PSA ในเลือด โดยแนะนำให้ตรวจในผู้ชายอายุประมาณ 45 – 50 ปี โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติในครอบครัวเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากตั้งแต่อายุน้อย อย่างไรก็ตามการตรวจ PSA เพื่อคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากมีทั้งผู้ที่สนับสนุนและไม่เห็นด้วย เช็คความเสี่ยงจากอาการเหล่านี้ ปัสสาวะติดขัด เร่งปัสสาวะก็จะมีอาการเจ็บเกิดขึ้น หากมีอาการรีบไปปรึกษาแพทย์อย่ารอช้า
รูปที่ 2 Digital rectal examination การนำเอาชิ้นเนื้อจากต่อมลูกหมากออกมาตรวจทางพยาธิวิทยามีความสำคัญมาก เพื่อวินิจฉัยและเป็นปัจจัยในการพิจารณาการรักษา พบว่าเซลมะเร็งต่อมลูกหมากประมาณ 95% เป็นชนิด Adenocarcinoma หลังจากวินิจฉัยมะเร็งต่อมลูกหมากแล้ว นอกจากการซักประวัติและตรวจร่างกาย ควรมีการส่งการตรวจอื่นๆเพื่อประเมินการลุกลามหรือระยะของโรค ได้แก่ การตรวจต่อมลูกหมากด้วยคลื่นแม่เหล็ก (MRI) การตรวจกระดูกด้วย bone scan การตรวจปอดด้วยภาพ x-ray การตรวจระดับ PSA ในกระแสโลหิต ทั้งนี้ขึ้นกับอาการของผู้ป่วยด้วย
รูปที่ 3 MRI of Prostate cancer การรักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก การรักษามะเร็งต่อมลูกหมากประกอบด้วยการรักษาด้วยการผ่าตัด การรักษาด้วยรังสี (radiotherapy) การรักษาด้วยฮอร์โมน (hormonal therapy) และการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด (chemotherapy) ทั้งนี้การเลือกการรักษาขึ้นกับระยะของโรค (staging) และปัจจัยเสี่ยง (risk factor) ต่างๆ ผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มมีความเสี่ยงต่ำ (low risk group) การรักษาที่เหมาะสมจะเป็นการรักษาเฉพาะที่ (local treatment) ได้แก่ การผ่าตัดต่อมลูกหมาก (radical prostatectomy) หรือการใช้รังสีรักษาเฉพาะที่ต่อมลูกหมาก ซึ่งอาจจะเป็นการฉายรังสี (external beam irradiation) หรือการฝังแร่ (brachytherapy) กรณีโรคลุกลามมากขึ้นและมีปัจจัยเสี่ยงมากขึ้นจนอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงปานกลาง (moderate risk group) หรือกลุ่มความเสี่ยงสูง (high risk group) นอกจากการรักษาเฉพาะที่ที่ต่อมลูกหมากแล้ว อาจต้องพิจารณาการรักษาในบริเวณข้างเคียง (regional treatment) หรือการรักษาทั้งระบบ (systemic treatment) ร่วมด้วย การรักษาบริเวณข้างเคียง ได้แก่ การผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองในบริเวณอุ้งเชิงกราน (pelvic lymph node dissection) หรือการฉายรังสีคลุมบริเวณอุ้งเชิงกราน (pelvic lymph node irradiation) การรักษาทั้งระบบ ได้แก่ การรักษาด้วยการลดฮอร์โมนเพศชาย (androgen deprivation therapy) หรือการใช้ยาเคมีบำบัด (chemotherapy)
รูปที่ 4 Linear accelerator for VMAT and IMRT
รูปที่ 5 VMAT in Prostate cancer ในกรณีที่โรคมะเร็งต่อมลูกหมากลุกลามมาก มีการกระจายไปยังอวัยวะต่างๆแล้ว หรือตัวผู้ป่วยเองมีสภาพร่างกายทั่วไปไม่แข็งแรง มีความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงจากการรักษาได้ง่าย แนวทางการรักษาจะเน้นให้พิจารณาเรื่องคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเป็นหลัก การรักษาจะเป็นการรักษาที่ขึ้นกับสภาวะของโรค อาการ และความต้องการของผู้ป่วยและครอบครัว หรือเรียกว่าการดูแลเพื่อบรรเทาอาการ (palliative care) การรักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมากควรจะเป็นการดูแลผู้ป่วยร่วมกันเป็นทีม ระหว่างทีมแพทย์ พยาบาล และบุคคลากรทางการแพทย์สาขาต่างๆ เพื่อการพิจารณาแนวทางการรักษาให้รอบด้าน ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และสังคม โดยคำนึงถึงความต้องการของผู้ป่วยและครอบครัวเป็นสำคัญ โรงพยาบาลวัฒโนสถ (Wattanosoth Hospital) เป็นโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งโดยเฉพาะ มีบริการครบวงจร ตั้งแต่การตรวจคัดกรอง การวินิจฉัยโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น (screening and early detection program) การรักษาโรคมะเร็งด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย (hi end technology) และทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ (multidisciplinary team) และการดูแลบรรเทาอาการผู้ป่วยแบบครบองค์รวมที่เน้นคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว (palliative care team) บทความโดย : นพ. ชนวัธน์ เทศะวิบุล Radiation Oncologist

โรคมะเร็งกระดูก (Bone cancer หรือ Malignant bone tumor)

บทความโดย ผศ.นพ.อดิศักดิ์ นารถธนะรุ่ง อาจารย์ประจำหน่วยเนื้องอกกระดูก ภาควิชาออร์โธปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
โรคมะเร็งกระดูก (Bone cancer หรือ Malignant bone tumor) เป็นโรคของเด็กโต วัยรุ่น และวัยหนุ่มสาว ช่วงอายุประมาณ 10-20 ปีแต่อาจพบในช่วงอายุอื่นๆได้บ้างทั้งในเด็กเล็กจนถึงในผู้สูงอายุ ซึ่งโรคมะเร็งกระดูกพบได้เพียงประมาณ 6% ของโรคมะเร็งในเด็กทั้งหมด โรคมะเร็งกระดูก แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ด้วยกัน คือ 1. โรคมะเร็งกระดูกชนิดปฐมภูมิ (Primary bone cancer หรือ Primary bone tumor) โรคมะเร็งที่เกิดจากเซลล์ของเนื้อเยื่อกระดูกเอง มักจะเกิดในอวัยวะพวกรยางค์ แขนขา ซึ่งตำแหน่งที่เกิดส่วนใหญ่คือใกล้ข้อ เช่น ข้อเข่า ข้อสะโพก ข้อไหล่ เป็นต้น โรคมะเร็งกระดูกชนิดทุติยภูมิ (Secondary bone cancer หรือ Secondary bone tumor) โรคมะเร็งกระดูกที่เกิดจากโรคมะเร็งอื่นๆ แพร่กระจายมาที่กระดูก ซึ่งประมาณ 30-40% ของมะเร็งที่กระจายมาจะพบที่แขนขา และประมาณ 50-60% จะกระจายมาที่ตรงส่วนกลางของร่างกาย เช่น กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกซี่โครง กะโหลกศีรษะ เป็นต้น 2. โรคมะเร็งที่แพร่กระจายมาที่กระดูกมีเกือบทุกชนิดและมักจะกระจายมาในช่วงท้ายๆ ของโรค แต่มีโรคมะเร็ง 5 ชนิดที่กระจายมากระดูกตั้งแต่ในระยะต้นของการเป็นโรค ได้แก่ มะเร็งต่อมไทรอยด์ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งไต และมะเร็งต่อมลูกหมาก โรคมะเร็งกระดูกชนิดปฐมภูมิเป็นกลุ่มมะเร็งที่พบได้น้อย จากสถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติพบอุบัติการณ์ของโรคประมาณ 0.8 คนต่อประชากรแสนราย ซึ่งพบได้ค่อนข้างน้อย เป็นโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย จะพบในวัยเด็กค่อนข้างมาก โรคมะเร็งกระดูกชนิดทุติยภูมิเป็นโรคมะเร็งกระดูกที่เกิดจากการแพร่กระจายของมะเร็งชนิดอื่น ๆ จะสัมพันธ์กับโรคมะเร็งที่เป็นอยู่ จากสถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ปัจจุบันพบผู้ป่วยโรคมะเร็งรายใหม่ประมาณ 30,000 รายต่อปี ซึ่งผู้ป่วยมีการกระจายไปที่กระดูกประมาณ 20% ซึ่งผู้ป่วยโรคมะเร็งกระดูกชนิดทุติยภูมิส่วนใหญ่จะเป็นผู้ป่วยที่เป็นในระยะท้ายๆ ของโรค
• ปัจจัยสำคัญของการเกิดโรคมะเร็งกระดูก โรคมะเร็งกระดูกยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคที่ชัดเจน ปัจจุบันมีหลักฐานเพิ่มขึ้นพบว่า 1. โรคมะเร็งกระดูกเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของยีนในร่างกาย 2. เกิดจากกระตุ้นโดยสิ่งแวดล้อม เช่น สารเคมี ยาฆ่าแมลง สารรังสี เป็นต้น คนที่ทำงานที่อยู่ใกล้กับสารเคมี หรือทำงานในโรงงานที่เกี่ยวข้องกับรังสีหรือทางการแพทย์ ทำให้มีโอกาสเกิดมะเร็งได้ 3. เกิดขึ้นจากการรักษาในปัจจุบัน เช่น การให้เคมีบำบัด การให้รังสีรักษา เหล่านี้กระตุ้นทำให้เกิดมะเร็งขึ้นโดยง่ายนอกจากนี้เป็นเรื่องการเปลี่ยน แปลงทางโลกาภิวัตน์ โรคบางอย่างที่เกิดขึ้นในทางประเทศแถบยุโรปบางโรค ทำให้มีโอกาสเกิดโรคมะเร็งกระดูกได้สูง ซึ่งในปัจจุบันโรคเหล่านี้ได้เกิดขึ้นในประเทศเรา และพบได้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิด ในอนาคตข้างหน้าอาจจะมีการเพิ่มของโรคมากขึ้นกว่าเดิม สาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคมะเร็งกระดูกนั้นเกิดขึ้นจากหลายปัจจัยเหล่า นี้ประกอบกัน • ลักษณะทางคลินิกของโรค โรคมะเร็งกระดูกชนิดปฐมภูมิ ผู้ป่วยมักมีอาการปวด ซึ่งอาการปวดจะมีข้อแตกต่างจากอาการปวดทั่วๆไป เป็นการปวดแบบทุกข์ทรมาน ปวดตลอดเวลา และมีปวดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ปวดในเวลากลางคืนมากกว่ากลางวัน มีก้อนเกิดขึ้น มีการผิดรูปของอวัยวะ เช่น แขนขาผิดรูป กระดูกหักแบบมีพยาธิสภาพ คือหักแบบไม่มีเหตุในการที่จะหัก เช่น เดินแล้วหัก นอกจากนี้ที่พบเพิ่มขึ้นเรียกว่าพบโดยบังเอิญโดยที่ผู้ป่วยไม่มีอาการแต่มีรอยโรคเกิดขึ้น มักจะพบจากการที่ผู้ป่วยไปตรวจสุขภาพประจำปี หรืออาจเกิดจากเกิดอุบัติเหตุ เล่นกีฬา ไปตรวจเอ็กซเรย์แล้วพบ ซึ่งปัจจุบันมักจะพบลักษณะแบบนี้มากขึ้น โรคมะเร็งกระดูกชนิดทุติยภูมิ ผู้ป่วยมักมีอาการปวด เรื่องก้อนจะไม่ค่อยชัดเจน มีภาวะเรื่องกระดูกหักโดยที่เกิดจากพยาธิสภาพ เช่น ยกของแล้วกระดูกหัก เดินหกล้มแล้วหัก เป็นต้น นอกจากนี้คืออาการของทางระบบประสาท เช่น อาการชา อาการอ่อนแรง จนกระทั่งเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น หรือบางครั้งอาจมาด้วยการตรวจพบโดยบังเอิญ ข้อแตกต่างระหว่างโรคมะเร็งกระดูกชนิดปฐมภูมิและโรคมะเร็งกระดูกชนิดทุติยภูมิ คือโรคมะเร็งกระดูกชนิดปฐมภูมิจะเด่นเรื่องของก้อน และการผิดรูปของอวัยวะ ส่วนมะเร็งกระดูกชนิดทุติยภูมิจะไม่เด่นเรื่องก้อน แต่จะมีภาวการณ์เป็นอัมพาตหรือการอ่อนแรงเกิดขึ้น • ความรุนแรงของโรคมะเร็งกระดูก โรคมะเร็งกระดูกชนิดปฐมภูมิค่อนข้างรุนแรง ผู้ป่วยมีอัตราการตายสูงมาก ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษา ยกตัวอย่างมะเร็งกระดูกชนิดปฐมภูมิ ที่เรียกว่า ชนิด Osteosarcoma ซึ่งเป็นมะเร็งกระดูกชนิดที่พบบ่อยในเด็กมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยจะเสียชีวิตประมาณไม่เกินระยะเวลา 2 ปี สำหรับโรคมะเร็งกระดูกชนิดทุติยภูมิ เช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านมพบว่ามีการกระจายไปที่กระดูกอย่างเดียว ผู้ป่วยอาจจะสามารถมีชีวิตอยู่ไปอีกนาน ในทางตรงกันข้ามถ้าผู้ป่วยโรคมะเร็งปอดกระจายมาที่กระดูก ในระยะเวลาประมาณ 6 เดือน ผู้ป่วยอาจจะเสียชีวิตได้ ทั้งนี้ความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็งที่แพร่กระจายมาด้วย โรคมะเร็งกระดูกชนิดปฐมภูมิจะมีข้อดี คือถ้าพบในระยะเริ่มต้น และยังไม่มีการกระจาย ผู้ป่วยอาจได้รับการรักษาให้หายขาดได้ เพียงแต่ว่าโรคมะเร็งกระดูกไม่เหมือนมะเร็งชนิดอื่นตรงที่ไม่สามารถตรวจก่อนได้ ต้องอาศัยความสงสัยของทางพ่อแม่ญาติพี่น้องที่ดูแลอยู่ ว่าบุตรหลานของเขามีความผิดปกติหรือไม่อย่างไร • การตรวจวินิจฉัยแยกโรค การเอ็กซเรย์กระดูก ดูตำแหน่งปวด การตรวจ MRI ซึ่งการตรวจ MRI นั้นมีข้อดีก็คือ สามารถบอกขนาดของมะเร็งที่แท้จริงได้ ซึ่งจะใช้ในการวางแผนในการผ่าตัดรักษา รวมถึงสามารถบอกผู้ป่วยได้ว่าควรจะเก็บขาไว้หรือตัดขา ซึ่ง MRI ขณะนี้มีราคาสูง มีใช้เฉพาะตามโรงพยาบาลขนาดใหญ่ และรังสีแพทย์ที่ใช้เครื่อง MRI จะต้องมีการฝึกฝนในการใช้เครื่องนี้อย่างดี เพื่อให้ความแม่นยำเพิ่มขึ้น การตรวจการตรวจชิ้นเนื้อ เป็นการนำตัวอย่างชิ้นเนื้อมาตรวจดู เพื่อการวินิจฉัยและบอกระยะของโรค เพราะว่าระยะของโรคมีความสัมพันธ์เกี่ยวกับเรื่องแผนการรักษาผู้ป่วย โดยปกติมะเร็งกระดูกจะกระจายไปที่ 2 อวัยวะหลักคือ 1.กระจายไปที่ปอด 2.กระจายไปที่กระดูกชิ้นอื่น ซึ่งต้องมีการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมคือ - การเอ็กซเรย์ปอด - การทำ CT Scan ปอด ซึ่งการทำ CT Scan ปอดจะละเอียดและรวดเร็วกว่า - การทำBone Scan เพื่อดูการกระจายของมะเร็ง การทำ Bone Scan จะสามารถหาได้เฉพาะบางจุด และการแปรผลจะต้องอาศัยความชำนาญ • การรักษาโรคมะเร็งกระดูก เมื่อตรวจวินิจฉัยได้ทั้งชิ้นเนื้อและระยะของโรคแล้ว ต่อไปเป็นการสรุปขั้นตอนของการรักษาโรค ซึ่งวัตถุประสงค์ของการรักษาโรคมะเร็งกระดูกทั้งสองชนิดนั้นมีความแตกต่างกัน คือ การรักษาโรคมะเร็งกระดูกชนิดปฐมภูมิหวังให้ผู้ป่วยหายขาดจากโรค ซึ่งมีกระบวนการทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วย การรักษาโรคมะเร็งกระดูกชนิดทุติยภูมินั้นไม่ได้รักษาเพื่อหวังให้ผู้ป่วยรอดชีวิต แต่รักษาเพื่อทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น การรักษาโรคมะเร็งกระดูกชนิดปฐมภูมิ ในปัจจุบันการรักษาหลักคือการผ่าตัด การให้เคมีบำบัด หรือการให้รังสีรักษา เรียกว่าเป็นการรักษาร่วม การรักษาโรคมะเร็งกระดูกชนิดทุติยภูมินั้นการรักษาเป็นการรักษาร่วม คือการให้เคมีบำบัดหรือการให้รังสีรักษา ส่วนการผ่าตัดเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นของการรักษา โดยส่วนใหญ่ทำเพื่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย • การรักษาโรคมะเร็งกระดูกชนิดปฐมภูมิ การรักษาโดยการผ่าตัด หลักการคือ นำเนื้องอกออกจากผู้ป่วยให้หมด ซึ่งมีอยู่ 2 วิธี คือ การตัดอวัยวะ คือตัดแขนหรือขาส่วนที่เป็นมะเร็งออกไป ตัดเฉพาะส่วนของตัวกระดูกที่เป็นเนื้องอกออกไป ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีใหม่ เพิ่งจะนำเข้ามาใช้ในประเทศไทย แต่การรักษาโดยวิธีนี้ไม่สามารถใช้ได้กับผู้ป่วยทุกราย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของก้อนมะเร็งและความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย การตัดอวัยวะ ในสมัยก่อนการตัดอวัยวะเป็นเรื่องที่ผู้ป่วยทุกรายกังวล และไม่อยากให้ไปถึงตรงจุดนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็ก ในปัจจุบันเทคโนโลยีเรื่องของขาเทียมเปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งในเรื่องวัสดุและความสะดวกสบายในการปรับใช้ ดังนั้นการใช้ขาเทียมแทบไม่เป็นปัญหาอะไร ผู้ป่วยสามารถทำทุกอย่างได้เหมือนคนปกติทั่วไป ส่วนที่เหลือคือผู้ป่วยต้องมีการฝึกเดิน พร้อมกับการเปลี่ยนความคิดใหม่ว่าการตัดขาไม่ใช่การสิ้นสุดของชีวิตอีกต่อไป การเก็บอวัยวะ หลักการคือตัดเฉพาะส่วนเนื้องอกออกไป และนำกระดูกมาทดแทนส่วนที่ตัดไป สมัยก่อนเรานำกระดูกจากผู้ป่วยที่เสียชีวิตแล้วมาทดแทนส่วนที่ถูกตัดออกไป ข้อดีของการเปลี่ยนกระดูก คือ ผู้ป่วยไม่ต้องทานยากดภูมิคุ้มกันเหมือนการเปลี่ยนอวัยวะอื่น เนื่องจากกระดูกเป็นโครงสร้างและไม่มีเนื้อเยื่อ การใส่กระดูกเข้าในผู้ป่วยจึงไม่เกิดภาวะต้านหรือถ้าหากเกิดก็จะน้อยมาก เนื่องจากกระดูกที่นำมาจากผู้ป่วยที่เสียชีวิต โดยส่วนใหญ่เป็นกระดูกของผู้สูงอายุ และนำมาเปลี่ยนให้กับเด็ก เป็นกระดูกที่ตาย กระดูกเหล่านี้จึงมีคุณสมบัติที่ไม่เหมือนกับกระดูกทั่วๆไป และมีการสลายได้ง่ายขึ้น หรือมีการหักได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าหากผู้ป่วยรู้จักวิธีการดูแลรักษากระดูก กระดูกจะอยู่ได้หลายปี ปัจจุบันเป็นเรื่องน่าเสียดาย เนื่องจากการบริจาคกระดูกเป็นที่รู้จักค่อนข้างน้อย และทางสภากาชาดไทยยังคงไม่มีนโยบายที่จะทำเรื่องนี้ ในปัจจุบัน Bone Bank มีอยู่ 2 แห่งที่ทำเรื่องนี้ คือ ศิริราช และพระมงกุฎเกล้า ซึ่งแต่ก่อนจะใช้วิธีการเก็บกระดูกจากผู้ป่วยที่เสียชีวิตที่ไร้ญาติ ปัจจุบันเป็นข้อห้ามทางกฎหมาย และไม่สามารถทำได้แล้ว จึงเป็นเรื่องของการบริจาคกระดูก แต่เนื่องจากขาดการประชาสัมพันธ์ในเรื่องนี้ จึงทำให้ไม่เป็นที่นิยมในประเทศไทย ในปัจจุบันแทบไม่มีกระดูกใช้เลย การทำ Recycling Bones เป็นการนำเทคโนโลยีของประเทศญี่ปุ่นเข้ามาใช้ โดยนำกระดูกผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งกระดูกที่ถูกตัดออกมาแล้ว นำมาทำลายเซลล์มะเร็ง ซึ่งการทำลายเซลล์มะเร็งมีได้หลายวิธี เช่น การฉายรังสี โดยใช้ปริมาณรังสีที่สูงมาก ทำให้เซลล์มะเร็งที่อยู่ในกระดูกตายหมด จากนั้นเอาตัวเซลล์มะเร็งที่ตายออก นำกระดูกชิ้นนั้นใส่เหล็กและนำกลับเข้าไปในผู้ป่วยเหมือนเดิม หรือนำกระดูกผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งไปแช่ในไนโตรเจนเหลว อุณหภูมิประมาณลบ 167 องศาเซลเซียส เพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง ซึ่งทางโรงพยาบาลรามาธิบดี เริ่มมีการใช้แล้ว แต่การนำกระดูกเหล่านี้ไปทำกรรมวิธีเหล่านั้น ทำให้กระดูกเสียคุณภาพได้ ดังนั้นกระดูกอาจจะหักง่ายไม่เหมือนกระดูกทั่วๆไป และมีระยะเวลาในการใช้งานประมาณ 5 ปี การใช้ข้อเทียม ข้อเทียมที่เป็นโลหะ การใช้ข้อเทียมในการรักษาโรคมะเร็งกระดูกไม่เหมือนกับการใช้ข้อเทียมอย่างอื่น การใช้ข้อเทียมในการรักษาโรคมะเร็งกระดูกต้องใช้โลหะที่มีความแข็งแรงมากกว่า และกรรมวิธีในการผลิตก็จะมากกว่า • การรักษาโรคมะเร็งกระดูกชนิดทุติยภูมิ การรักษาโรคมะเร็งกระดูกชนิดทุติยภูมิ เป็นการรักษาเพื่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ดังนั้นหลักการรักษาคือ 1. ผู้ป่วยต้องไม่ปวด 2. ทำอย่างไรให้ผู้ป่วยกลับมาใช้อวัยวะข้างที่เป็นอยู่ได้ทันที เช่น ผู้ป่วยกระดูกหักที่ขา เมื่อผ่าตัดเสร็จ เขาสามารถกลับมาเดินได้ เป็นต้น และ 3. ทำอย่างไรให้ผู้ป่วยพึ่งผู้อื่นน้อยที่สุด ถ้าสามารถทำให้ผู้ป่วยกลับมาช่วยตนเองได้ เขาก็จะมีความภาคภูมิใจในตัวเอง และไม่เสียคุณค่าของตัวเองไป ดังนั้นผู้ป่วยก็ยังอยากที่จะมีชีวิตอยู่ไป การผ่าตัด ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการเสริมกระดูกที่เสียหาย ให้แข็งแรง ยกตัวอย่าง ผู้ป่วยที่มะเร็งกระจายไปที่กระดูกสันหลัง ทำให้กระดูกสันหลังยุบตัว การผ่าตัดเพื่อใส่เหล็กเข้าไปค้าเพื่อไม่ให้กระดูกทรุดตัว หรือเมื่อมีการกดไขสันหลัง การผ่าตัดเพื่อไปตัดตำแหน่งที่กดออกไป เป็นต้น การรักษาแบบตัดกระดูกออกไปแทบไม่ค่อยทำในผู้ป่วยโรคมะเร็งกระดูกชนิดทุติยภูมิ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่สูง แต่ในปัจจุบันแนวคิดของการรักษาเปลี่ยนไป ยกตัวอย่าง ผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก หรือโรคมะเร็งเต้านม ที่มีชีวิตอยู่ 20 ปี แม้ว่ามะเร็งจะกระจายไปที่กระดูก ผู้ป่วยยอมผ่าตัดเอากระดูกออกและใส่เหล็กเข้าไป ลักษณะนี้เรียกว่า Active โรคมะเร็งกระดูกชนิดทุติยภูมิไม่สามารถใช้การรักษาด้วยวิธี Recycling Bones ได้ เนื่องจากกระดูกเป็นมะเร็งทั้งหมด • การติดตามการรักษาโรคมะเร็งกระดูก
ในกรณีโรคมะเร็งกระดูกชนิดปฐมภูมิจะมีการติดตามการรักษา คือ 1. เมื่อผ่าตัดไปแล้ว มะเร็งจะเกิดซ้ำหรือไม่ 2. มะเร็งมีการกระจายไปที่ปอดหรือกระจายไปที่กระดูกหรือไม่ โดยจะมีการเอ็กซเรย์ หรือ Bone Scan เป็นระยะๆ ประมาณ 80% ของผู้ป่วยมีการกลับซ้ำภายใน 2 ปี และผู้ป่วยที่เหลือประมาณ 20% ประมาณครบ 5 ปี พอหลังจาก 5 ปีแล้ว เปอร์เซ็นการเกิดซ้ำของโรคมะเร็งหรือการกระจายของมะเร็งก็จะลดลงไปมาก ถ้าเกิน 5 ปีไปแล้ว ไม่มีการเกิดซ้ำของโรค เรียกว่าหายขาดได้ • แพทย์กับความเข้าใจเกี่ยวกับโรคมะเร็งกระดูก แพทย์ที่เรียนมาเพื่อทำสาขาออโธปิดิกส์ในประเทศไทยมีประมาณ 3,000-4.000 คน จะมีแพทย์ออโธปิดิกส์ที่ทำงานทางด้านมะเร็งกระดูกอยู่ประมาณ 30 กว่าคน แต่ที่ทำงานด้านนี้ในภาคปฏิบัติจริงๆ มีไม่เกิน 20 คน จำนวนที่เหลือขึ้นรับตำแหน่งผู้บริหารไปแล้ว ซึ่งจำนวนแพทย์ที่รักษาไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้ป่วย เราพยายามที่จะสอนนักศึกษา สอนให้กับแพทย์ประจำบ้านที่จบออกไปแล้ว ให้ทำงานตรงนี้ได้ แต่เนื่องจากการรักษาตรงนี้มีความซับซ้อนมากกว่าการรักษาทั่วๆ ไป การดูแลผู้ป่วยต้องใช้สหสาขา โรงพยาบาลหลายแห่งไม่ได้มีแพทย์ครบทุกสาขา ไม่สามารถจัดการเองได้ สุดท้ายเขาส่งผู้ป่วยโรคมะเร็งกระดูกมาที่ส่วนกลางที่นี่เพื่อทำการรักษา ซึ่งแพทย์ในขณะนี้มีความเข้าใจเกี่ยวกับโรคมะเร็งกระดูกมากขึ้น • เทคโนโลยีในอนาคตในการรักษาโรคมะเร็งกระดูก ปัจจุบันมีการพัฒนาเทคโนโลยีในการผ่าตัด คือมีการผ่าตัดแบบ Minimal Invasive Surgery คือการผ่าตัดแบบเจาะรู ขณะนี้ผมมีการพัฒนาเรื่องการผ่าตัดแบบเจาะรูเพื่อรักษาโรคมะเร็งกระดูกขึ้นมาในผู้ป่วยระยะเริ่มต้นที่มาพบแพทย์เร็ว วิธีการคือ เมื่อตรวจพบว่าผู้ป่วยเริ่มมีการก่อเซลล์มะเร็งขึ้นในจุดใดจุดหนึ่งในกระดูก ก็จะเจาะรูที่กระดูกตรงนั้น จากนั้นใช้ probe ตัวเส้นที่ให้ความร้อน ผ่านระบบแรงสั่นสะเทือนให้ความร้อนทำลายมะเร็ง ซึ่งเราเริ่มทำในผู้ป่วยประมาณ 2-3 รายแล้ว และได้ผลดี เพียงแต่ว่าผู้ป่วยต้องเข้ามาในระยะเริ่มต้นเท่านั้น ในอนาคตเรื่องมะเร็งกระดูกอาจจะไม่ใช่โรคที่ต้องรักษาโดยการผ่าตัดอีกต่อไป จะเป็นโรคของการให้ยา เรียกว่า Targeted Therapy เป็นการรักษาโดยใช้ยาที่เข้าไปรักษายีนโดยตรง ตอนนี้มีการค้นพบเรื่อยๆ ในเรื่องยีนที่เฉพาะเจาะจงกับโรคมะเร็งกระดูก แต่ว่ามะเร็งกระดูกจะแตกต่างจากมะเร็งชนิดอื่น คือ ในก้อนมะเร็งกระดูกจะมียีนอยู่หลายชนิดและยีนแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน จึงไม่สามารถบอกได้ว่ามะเร็งกระดูกมียีนที่เป็นยีนชนิดเดียวกัน ดังนั้น Targeted Therapy จะยังเข้าไม่ถึงจนกว่าจะสามารถจะทราบได้ว่ามะเร็งกระดูกมียีนอะไรที่เกี่ยวข้องบ้าง สุดท้าย การรักษาโรคมะเร็งกระดูกชนิดปฐมภูมิ อยากให้การรักษาอยู่ในระดับเริ่มต้น ดังนั้นพ่อแม่ที่ดูแลลูก เวลาลูกไม่สบายมีอาการเจ็บที่แขนขา ให้ความสนใจและเอาใจใส่ อย่ารอให้ลูกเป็นมากถึงพาไปพบแพทย์ และการไปพบแพทย์ควรไปพบแพทย์ที่เชี่ยวชาญโดยตรง โรคมะเร็งกระดูกชนิดทุติยภูมิเป็นปัญหาที่ล้นมือ อยากให้แพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยช่วยประเมิน และส่งต่อให้แพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการรักษาที่เหมาะสมต่อไป เนื่องจากผู้ป่วยโรคมะเร็งกระดูกจำเป็นต้องได้รับการติดตามในระยะยาว ก็ฝากแพทย์ที่ดูแลดูแลต่อ และหากมีข้อสงสัยในเรื่องแผนการรักษา สามารถปรึกษาแพทย์ที่ทางเราได้โดยตรง ซึ่งเรามีทีมงานพยาบาลด้วย นอกจากนี้ควรนึกถึงจิตใจผู้ป่วยและญาติด้วย ควรให้ข้อมูลกับผู้ป่วยอย่าให้ในทางลบมากนัก หรือให้ในทางบวกมากเกินไป

มะเร็งเต้านม

โรคมะเร็งเต้านมเกิดจากเนื้อเยื่อของเต้านมมีการเปลี่ยนแปลงเป็นเซลล์มะเร็งซึ่งอาจจะกิดเป็นมะเร็งเต้านมที่เกิดกับท่อน้ำนม หรือมะเร็งเต้านมที่เกิดกับต่อมน้ำนม มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อย ดังนั้นท่านผู้อ่านที่เป็นหญิงหรือชายควรจะตรวจเต้านมตัวเอง มะเร็งเต้านม
มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในผู้หญิง จากสถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติพบผู้หญิงเป็นมะเร็งเต้านมร้อยละ 37 ของมะเร็งทั้งหมด และยังมีอัตราการเสียชีวิตเป็นอันดับสองรองจากมะเร็งปอด ดังนั้นการดูแลตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง และการค้นพบมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มแรกในขณะที่ก้อนมีขนาดเล็ก และก้อนมะเร็งยังอยู่เฉพาะที่เต้านม ยังไม่แพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลือง จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะ จะมีโอกาสหายขาดมากขึ้น เมื่อเทียบกับการตรวจพบก้อน มะเร็งที่มีขนาดใหญ่ หรือกระจายไปต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้แล้ว โดยหากมีการตรวจพบมะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้น มีโอกาสที่จะมีชีวิตเกิน 5 ปีถึงร้อยละ 98 ถ้าตรวจเจอ ตอนก้อนมะเร็งกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้แล้ว มีโอกาสที่จะมีชีวิตเกิน 5 ปีร้อยละ 84 และถ้าตรวจเจอ ตอนมะเร็งแพร่กระจายไปแล้ว โอกาสที่จะมีชีวิตเกิน 5 ปี มีเพียงร้อยละ 23 และยังไม่แพร่กระจายจะทำให้มีโอกาศรอดชีวิตสูง ก้อนขนาดเล็กก่อนที่จะรู้เรื่องมะเร็งท่านต้องทราบ เรื่องทั่วไปเกี่ยวกับเต้านม ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านม ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งขึ้นกับ • อายุ • พันธุกรรม ประวัติการเกิดมะเร็งในครอบครัว และการเกิดมะเร็งเต้านมของตัวเอง • ปัจจัยของฮอร์โมน เช่นอายุเริ่มต้นของการมีประจำเดือน อายุที่หมดประจำเดือน การมีบุตร การให้นมบุตร ประวัติการใช้ยาฮอร์โมนทดแทนในวัยทอง • นอกจากนั้นยังมีความเสี่ยงในแงพฤติกรรมเช่น ความอ้วน การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ การเคยได้รับการฉายรังสี ความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านม การตรวจคัดกรองมะเร็งในระยะแรกเริ่ม
วิธีการตรวจหามะเร็งเต้านมมีอะไรบ้าง การตรวจหามะเร็งเต้านมมีหลายวิธีได้แก่ 1. การตรวจเต้านมด้วย แมมโมแกรม ซึ่งจัดว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการตรวจคัดกรอง มะเร็งเต้านมในผู้หญิงทั่วไป 2. การตรวจเต้านมโดยแพทย์หรือพยาบาล 3. การตรวจเต้านมด้วยตัวเอง การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม อาการของมะเร็งเต้านม
ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านมมักจะไม่มีอาการอะไร โดยมากมักจะรู้ได้โดย • คลำได้ก้อนที่เต้านมหรือรักแร้ • มีการเปลี่ยนแปลงขนาดของเต้านม • มีน้ำไหลออกจากหัวนม • เจ็บ หรือหัวนมถูกดึงรั้ง • ผิวเต้านมจะเหมือนเปลือกส้ม สำหรับผู้ที่มะเร็งเป็นมากและมีการแพร่กระจายของมะเร็งจะมีอาการ • ปวดกระดูก • น้ำหนักลด • แผลที่ผิวหนัง • แขนบวม ก้อนที่เต้านม การตรวจหลังจากทราบว่าเป็นมะเร็ง การตรวจหลังจากทราบผลชิ้นเนื้อว่าเป็นมะเร็งเต้านมจะเป็นการตรวจเพื่อประเมินว่ามะเร็งเต้านมอยู่ในระยะไหน มีการแพร่กระจายหรือยัง มะเร็งมีการตอบสนองต่อฮอร์โมนหรือไม่ การตรวจเหล่านี้มีความสำคัญในการวางแผนการรักษา การตรวจหลังจากทราบว่าเป็นมะเร็ง ระยะของมะเร็งเต้านม การประเมินระยะของมะเร็งเต้านมหมายถึงการประเมินว่าโรคมะเร็งมีการลุกลาม หรือมีแน้วโน้มที่จะลุกลามเร็วหรือไม่ การประเมินจะช่วยในการวางแผนการรักษา วิธีการประเมินมีด้วยกันสองวิธี การประเมินระยะของมะเร็งเต้านม การรักษามะเร็งเต้านม การรักษาโรคมะเร็งเต้านม จะต้องได้ประเมินระยะของผู้ป่วยแล้ว จึงวางแผนการรักษา โดยทั่วไปการรักษามะเร็งเต้านมมีด้วยกันดังนี้ • การรักษาโดยการผ่าตัด • การรักษาโดยการให้เคมีบำบัด • การรักษาโดยการฉายรังสี • การให้ฮอร์โมน การรักษาโรคมะเร็งเต้านม มาป้องกันมะเร็งกันเถอะ สาเหตุของมะเร็งเต้านมยังไม่เป็นที่แน่ชัด แต่การปฎิบัติตัวที่ดีจะลดการเกิดมะเร็งเต้านม • เปลี่ยนแปลงอาหาร เช่นลดพวกเนื้อสัตว์ลง ลดอาหารไขมัน • เลือกรับประทานอาหารผักหรือผลไม้ • ควบคุมน้ำหนักมิให้อ้วน • ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 5 วันวันละ 30 นาที • งดบุหรี่ และแอลกอฮอลล์ ที่มา : http://siamhealth.net/public_html/Disease/cancer/breast/breastcancer.htm

มะเร็งปากมดลูก

มะเร็งปากมดลูกคืออะไร
มะเร็งปากมดลูก หมายถึง ก้อนเนื้อร้ายที่เกิดขึ้นบริเวณมดลูก ช่องคลอด และช่องปากมดลูก มะเร็งปากมดลูกมักจะเกิดในหญิงอายุประมาณ 50 ปี อีกทั้งผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกจำนวนมากจะเป็นผู้หญิงที่แต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย ตั้งครรภ์เร็ว คลอดบุตรหลายครั้ง และผู้ที่ติดเชื้อไวรัส HPV แต่ช่วงไม่กี่ปีมานี้ โรคมะเร็งปากมดลูกมีแนวโน้มที่จะเกิดกับหญิงที่อายุยังน้อยอีกด้วย อัตราการเกิดมะเร็งปากมดลูกสูงแค่ไหน มะเร็งปากมดลูกมีอัตราการเกิดโรคเป็นอันดับสองในบรรดาโรคมะเร็งทั้งหมดที่เกิดกับเพศหญิง ทุกปีมีโรคมะเร็งปากมดลูก 53,000 รายเกิดใหม่ทั่วโลก ซึ่ง 85% มาจากกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา สาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูกคืออะไร โรคมะเร็งปากมดลูกเกือบ 70% เกิดจากเชื้อไวรัส HPV รองลงมาคือการสูบบุหรี่ และภูมิคุ้มกันในร่างกายบกพร่อง อีกทั้งปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่มาเกี่ยวพันกันก็สามารถทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกได้ ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่มีผลกระทบต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูก ได้แก่ การติดเชื้อหนองในเทียม (Chlamydia infectious) ความเคยชินในการบริโภคที่ไม่ถูกสุขลักษณะ มักสัมผัสหรือใช้ยาที่มีฮอร์โมน มีประวัติทางครอบครัวเป็นมะเร็งปากมดลูก มักกินยาคุมกำเนิด มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย ตั้งครรภ์เร็ว คลอดบุตรหลายครั้ง เป็นต้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกได้ โรคมะเร็งปากมดลูกมีอาการแสดงอย่างไร ๑. ประจำเดือนมาผิดปกติหรือเมื่อหมดประจำเดือนแล้วยังมีเลือดออกทางช่องคลอด ๒. น้ำคัดหลั่งจากช่องคลอดเพิ่มมากขึ้น น้ำคัดหลั่งจะมีสีขาวหรือปนเลือด อีกทั้งมีกลิ่นเหม็นคาว ๓. มีอาการปัสสาวะบ่อย กลั้นปัสสาวะไม่อยู่และท้องผูก เป็นต้น ๔. มีอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรงในส่วนต่างๆ ของร่างกายที่แตกต่างกัน ๕. ซูบผอม โลหิตจาง เป็นไข้ และเกิดภาวะอ่อนเปลี้ยทางร่างกาย เป็นต้น
วิธีตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก ๑. ตรวจทางนรีเวชตามกำหนด สามารถช่วยค้นพบการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ที่ปากมดลูกในระยะแรกได้ ๒. โรคปากมดลูกอักเสบมีโอกาสพัฒนาเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกได้ ฉะนั้น ต้องกระตือรือร้นในการรักษาโรคปากมดลูกอักเสบ ๓. ทำความคุ้นเคยและเข้าใจอาการโรคมะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มแรก หากเกิดอาการเหล่านี้ ควรรีบไปตรวจที่โรงพยาบาลทันที วิธีการตรวจวินิจฉัยมะเร็งปากมดลูก ๑. การตรวจแปปสเมียร์ ( Pap smear ) : หญิงที่สมรสแล้ว เมื่อได้รับการตรวจทางนรีเวชหรือการตรวจเพื่อป้องกันโรคมะเร็งทั่วไป ต้องทำการตรวจแปปสเมียร์ด้วย ๒. การทดสอบด้วยไอโอดีน : ตรวจดูปากมดลูกด้วยกล้องคอลโปสโคป แล้วทาปากมดลูกและเยื่อเมือกช่องคลอดด้วยไอโอดีนที่มีความเข้มข้น 2% บริเวณที่ไม่เกิดสีจะเป็นผลลบ ซึ่งหากพบส่วนที่มีผลลบผิดปกติ ควรตัดชิ้นเนื้อส่วนนั้นส่งตรวจทางพยาธิวิทยาทันที ๓. การตรวจเนื้อเยื่อ ( Biopsy ) : เมื่อการตรวจชิ้นเนื้อเป็นผลลบ ควรนำชิ้นเนื้อตรงจุดที่หก เก้า สิบสองและสามบริเวณรอยต่อของเซลล์เยื่อบุผิวไปตรวจ หรือใช้เครื่องมือขูดช่องปากมดลูก เพื่อนำเซลล์ไปตรวจทางพยาธิวิทยาต่อไป ๔. การตรวจด้วยกล้องคอลโปสโคป : การตรวจด้วยกล้องคอลโปสโคปไม่สามารถตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งปากมดลูกได้โดยตรง แต่มีส่วนช่วยในการตรวจ Biopsy ๕. การตัดชิ้นเนื้อปากมดลูกออกเป็นรูปโคน ( Cone biopsy ) : เมื่อการตรวจ Biopsy ไม่สามารถชี้ชัดว่ามะเร็งไม่มีการลุกลาม ก็จะตัดชิ้นเนื้อปากมดลูกออกเป็นรูปโคนเพื่อนำไปตรวจวินิจฉัย
โรคมะเร็งปากมดลูกแบ่งระยะได้ดังนี้ ระยะที่ 0 : เซลล์มะเร็งยังอยู่บริเวณผิวส่วนบนของปากมดลูก มะเร็งปากมดลูกในระยะ 0 เรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่า มะเร็งในจุดกำเนิด ระยะที่ 1: เซลล์มะเร็งอยู่ที่ปากมดลูก และเริ่มมีการลุกลาม ระยะที่ 2 : เซลล์มะเร็งลุกลามเข้าไปในช่องคลอด แต่ยังไม่ถึง 1/3 ของช่องคลอด หรืออาจลุกลามเข้าไปที่เนื้อเยื่อข้างปากมดลูก แต่ยังไม่ถึงผนังของเชิงกราน ระยะที่ 3 : เซลล์มะเร็งลุกลามเข้าไปถึง 1/3 ส่วนล่างของช่องคลอด หรือลุกลามไปถึงกระดูกเชิงกราน หรือไปกดทับท่อไต ทำให้เกิดการอุดตันของระบบปัสสาวะ ระยะที่ 4 : เซลล์มะเร็งลามออกจากส่วนอวัยวะเพศ หรือผ่านกระดูกเชิงกรานลามเข้าไปในลำไส้ตรง และกระเพาะปัสสาวะโดยตรง หรือแม้กระทั่งลามไปบริเวณอื่นๆ ที่ไกลออกไป วิธีรักษาโรคมะเร็งปากมดลูกแบบดั้งเดิมคืออะไร ๑. การตัดมดลูกทิ้งเป็นวิธีการรักษาโรคมะเร็งปากมดลูกที่ค่อนข้างพบบ่อย ซึ่งได้แก่ ๑.๑ การตัดมดลูกทิ้งทั้งหมด : โดยผ่าตัดปากมดลูกและมดลูกทิ้งทั้งหมด ๑.๒ การตัดมดลูกทิ้งแบบถอนรากถอนโคน : โดยผ่าตัดปากมดลูก มดลูก ช่องคลอดส่วนบน รังไข่ ท่อนำไข่ และต่อมน้ำเหลืองที่มีการลุกลาม เป็นต้น ๒. การรักษามะเร็งปากมดลูกด้วยการฉายรังสี มีข้อดีคือ คลื่นรังสีมีประสิทธิภาพในการกำจัดเซลล์มะเร็ง แต่มีข้อเสียคือ มีผลกระทบต่อสมรรถนะรังไข่ของหญิงวัยก่อนหมดประจำเดือน ๓. การรักษามะเร็งปากมดลูกแบบเคมีบำบัด เป็นวิธีการรักษามะเร็งด้วยยาเคมี เหมาะสำหรับมะเร็งปากมดลูกระยะสุดท้ายและมะเร็งปากมดลูกที่กลับมาเกิดซ้ำ แต่จะเกิดอาการข้างเคียงค่อนข้างหนักในระหว่างการรักษา ซึ่งโดยปกติแล้วผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกที่ร่างกายอ่อนแอนั้นจะทนไม่ค่อยไหว วิธีดูแลพยาบาลหลังการผ่าตัดมะเร็งปากมดลูก ๑. การดูแลด้านจิตใจ : ผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกมักจะเกิดอารมณ์หวาดกลัว กระสับกระส่าย และหงุดหงิดได้ง่าย เป็นต้น ครอบครัวควรดูแลเอาใจใส่และให้กำลังใจผู้ป่วย ๒. การดูแลด้านสุขอนามัย : หลังการผ่าตัดควรล้างช่องคลอดด้านนอกและปากท่อปัสสาวะวันละ 2 ครั้ง เพื่อรักษาความสะอาดของช่องคลอด นอกจากนี้ ยังสามารถรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันแผลติดเชื้อ ๓. การดูแลด้านการออกกำลัง : ฝึกซ้อมการหายใจส่วนท้องและฝึกขมิบทวารหนัก เพื่อเพิ่มพลังการหดตัวของกล้ามเนื้อท่อปัสสาวะ และกล้ามเนื้อหูรูดของท่อปัสสาวะ ช่วยฟื้นฟูระบบประสาทของกระเพาะปัสสาวะที่ได้รับความเสียหาย ๔. การดูแลด้านการบริโภค : ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินสูง โปรตีนสูง และอาหารที่ย่อยง่ายให้มาก เพื่อช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย วิธีการรักษามะเร็งปากมดลูกที่เหมาะสมที่สุด ทีมผู้เชี่ยวชาญหลายแขนงซึ่งรวบรวมแพทย์ศัลยกรรมด้านมะเร็ง ผู้เชี่ยวชาญด้านพยาธิวิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านการฉายแสงมะเร็ง ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษามะเร็งแบบบาดแผลเล็ก พยาบาลผู้ดูแลแผนกมะเร็งและเจ้าหน้าที่ล่าม ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้จะร่วมกันกำหนดแผนการรักษาโดยประเมินจากสภาพร่างกายและอาการของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก เพื่อยกระดับผลการรักษาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

มะเร็งลิ้น

อะไรคือมะเร็งลิ้น? มะเร็งลิ้นเป็นมะเร็งในช่องปากที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด โดยมักจะเกิดขึ้นที่ขอบลิ้น รองลงมาคือปลายลิ้น ด้านหลังลิ้นและโคนลิ้น เป็นต้น ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นลักษณะของแผลเน่าเปื่อยหรือลุกลามมาจากส่วนอื่น อัตราการเกิดมะเร็งลิ้น จากตัวเลขของสถิติพบว่าโอกาสการเป็นมะเร็งลิ้นนั้นอยู่ที่ 0.8 - 1.5% ของเนื้องอกร้ายทั้งหมดในร่างกาย คิดเป็น 5%-7.8% ของมะเร็งร้ายบริเวณลำคอ และ 32.3% - 50.6% ของมะเร็งในช่องปาก ในจำนวนนี้จะพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง เฉลี่ยแล้วจะเกิดกับผู้ที่อยู่ในช่วงอายุประมาณ 60 ปี     
   อาการของมะเร็งลิ้นมีอะไรบ้าง? 1.ขอบลิ้น ปลายลิ้น ด้านหลังลิ้นและส่วนท้องของลิ้นจะปรากฎมีแผลเน่าเปื่อยและเมื่อเวลาผ่านไปนานก็ยังไม่หาย 2.บริเวณลิ้นมีก้อนเนื้อซึ่งมีลักษณะแข็ง บริเวณขอบลิ้นไม่สะอาด มีอาการปวด และจะมีลักษณะใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว 3.ลิ้นไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ดีเหมือนเดิม และเกิดความลำบากในการทานอาหารหรือกลืนอาหาร สาเหตุที่ทำให้เป็นมะเร็งลิ้นมีอะไรบ้าง? ปัจจุบันยังคงไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ส่วนใหญ่แล้วจะคิดว่าเป็นเพราะการได้รับบาดเจ็บเรื้อรัง รังสีอุลตร้าไวโอเลท เอ็กซเรย์รวมไปถึงวัตถุที่มีรังสีอื่นๆ ทำให้เกิดมะเร็งลิ้น นอกจากนี้ยังมีสาเหตุทางด้านจิตใจ และการขับออกของเสียจากภายใน ภูมิคุ้มกันของร่างกายรวมไปถึงการถ่ายทอดทางพันธุกรรมต่างมีความเกี่ยวข้องกับการเป็นมะเร็งลิ้นทั้งสิ้น วิธีการวินิจฉัยมะเร็งลิ้นมีอะไรบ้าง? 1.การตรวจทางภาพถ่าย เช่น การเอ็กซเรย์ เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ CT มีความแน่นอนในการบอกขอบเขตการลุกลามของมะเร็งซึ่งมีประโยชน์ในการวินิจฉัยมาก 2.การตรวจชิ้นเนื้อ เมื่อสงสัยว่าจะเป็นมะเร็งลิ้นก็สามารถใช้ส่วนตัวอย่างที่นำออกมาจากลิ้นไปตรวจได้ สำหรับผู้ที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอบวมใหญ่ จำเป็นต้องทำการตรวจจากส่วนตัวอย่างของต่อมน้ำเหลืองด้วย
วิธีการรักษามะเร็งลิ้น 1.การผ่าตัด เป็นขั้นตอนหลักของการรักษามะเร็งลิ้น โดยผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ผู้ป่วยระยะ T1 สามารถทำการผ่าตัดกำจัดเนื้องอกโดยมีขนาดของบาดแผลรูป X ขนาด 1 ซม. ได้ และสำหรับผู้ป่วยระยะ T2-T4 ต้องผ่าตัดครึ่งหนึ่งของลิ้นหรือทั้งหมดของลิ้นออกไป 2. การฉายแสง เป็นการรักษาเสริมที่ใช้กับผู้ป่วยมะเร็งลิ้นระยะสุดท้ายก่อนการผ่าตัดหรือหลังการผ่าตัดก็ได้ 3. การทำคีโม สามารถใช้เป็นการรักษาเสริมก่อนหรือหลังการผ่าตัดได้ นอกจากนี้ก็เหมาะสมกับผู้ป่วยที่เซลล์มะเร็งมีการลุกลามไปยังส่วนอื่นที่ไกลออกไป 4.แพทย์แผนจีน เป็นการรักษามะเร็งลิ้นที่มาทดแทนสิ่งที่การฉายแสงและคีโมไม่มี รวมไปถึงการผ่าตัด เพราะสามารถเพิ่มผลการรักษาให้มีประสิทธิภาพและลดผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยคีโมและฉายแสงได้ นอกจากนี้ ทางโรงพยาบาลมะเร็งสมัยใหม่กว่างโจวของเรายังได้มีเทคโนโลยีการรักษามะเร็งลิ้นแบบบาดแผลเล็ก โดยผู้เชี่ยวชาญทางมะเร็งลิ้นจะมีการออกแบบแผนการรักษาโดยเฉพาะเพื่อผู้ป่วยตามลักษณะอาการและสภาพร่างกายของผู้ป่วย การดูแลผู้ป่วยมะเร็งลิ้นหลังการผ่าตัด 1.ในวันที่ทำการผ่าตัด เมื่อผ่าตัดแล้วผู้ป่วยสามารถนอนราบไปกับเตียงได้โดยไม่ต้องใช้หมอน ส่วนวันที่สองก็สามารถใช้ท่าแบบกึ่งนั่งกึ่งนอนได้เพื่อที่จะลดการช้ำเลือดที่บริเวณศีรษะและบาดแผล รวมไปถึงอาการบวมน้ำด้วย 2.ควรที่จะพิจารณาดูอาการทางร่างกายของผู้ป่วยอย่างชัดเจน และจะต้องให้ผู้ป่วยหายใจได้สะดวกตลอดเวลา 3.ควรที่จะสังเกตดูท่ออาหารอยู่เสมอว่าไหลเวียนดีหรือไม่ และจะต้องสังเกตสี ลักษณะ และปริมาณของของเสียจากร่างกายผู้ป่วย ถ้ามีอาการผิดปกติก็ควรที่จะแจ้งแพทย์ทันที 4.หลังจากทำการผ่าตัดควรที่จะให้อาหารทางจมูก หลังจากนั้น 7-10 วันก็สามารถให้ผู้ป่วยลองทานอาหารเหลวทางปากได้ 5.แนะนำผู้ป่วยให้รักษาความสะอาดของช่องปากอย่างสม่ำเสมอ ที่มา : http://www.moderncancerthai.com/cancer-topics/tongue-cancer/

มะเร็งท่อน้ำดี

มะเร็งท่อน้ำดี เป็นก้อนเนื้อร้ายที่เกิดจากเซลล์เยื่อบุผนังของท่อทางเดินน้ำดีซึ่งรวมถึงท่อน้ำดีภายในตับและท่อน้ำดีภายนอกตับ พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอายุ 40 ปีขึ้นไป ในประเทศไทยโรคนี้เป็นปัญหาทางสาธารณสุขสำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเชื่อว่าสาเหตุเกิดจากการรับประทานปลาน้ำจืดแบบดิบๆ ทำให้ได้รับตัวอ่อนของพยาธิใบไม้ตับ ปัจจัยเสี่ยง
• ชนิดของมะเร็งท่อน้ำดี • ปัจจัยเสี่ยง • อาการของมะเร็งท่อน้ำดี • การวินิจฉัยโรค • การรักษาโรคมะเร็งท่อน้ำดี ชนิดของมะเร็งท่อน้ำดี มะเร็งท่อน้ำดีสามารถแบ่งออกตามตำแหน่งของมะเร็งได้ 2 ชนิด คือ • มะเร็งท่อน้ำดีภายในตับ เกิดจากเซลล์ของเยื่อบุท่อน้ำดีในตับและขยายออกสู่เนื้อตับข้างๆ ทำให้มีลักษณะคล้ายมะเร็งตับ จึงเป็นโรคที่มักถูกวินิจฉัยผิดว่าเป็นมะเร็งตับ • มะเร็งท่อน้ำดีภายนอกตับ จะเกิดที่ท่อน้ำดีใหญ่ตั้งแต่ขั้วตับจนถึงท่อน้ำดีร่วมส่วนปลาย มะเร็งชนิดนี้ทำให้เกิดการอุดตันของท่อน้ำดี ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการตัวเหลืองตาเหลือง ปัจจัยเสี่ยง ในประเทศไทย ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็งท่อน้ำดีที่สำคัญโดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ การรับประทานปลาน้ำจืดแบบดิบๆ ทำให้ได้รับตัวอ่อนของพยาธิใบไม้ตับ ซึ่งจะเจริญเติบโตอยู่ในท่อน้ำดี สำหรับปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่อาจมีผลทำให้เกิดมะเร็งท่อน้ำดีมีดังนี้ • ภาวะท่อน้ำดีอักเสบเรื้อรัง • โรคของระบบทางเดินน้ำดี • มีนิ่วในตับ • โรคทางพันธุกรรมผิดปกติแต่กำเนิด เช่น โรคมีถุงน้ำผิดปกติในระบบทางเดินน้ำดี
อาการของมะเร็งท่อน้ำดี โดยส่วนใหญ่มะเร็งท่อน้ำดีในระยะเริ่มแรกมักไม่มีอาการ แต่เมื่อโรคลุกลามมากแล้วอาจมีอาการแสดงได้ เช่น • อาการตัวเหลืองตาเหลืองซึ่งเกิดจากการอุดตันของท่อน้ำดี • มีอาการไม่สบายในท้อง อึดอัด แน่นท้อง • ปวดท้องส่วนบนบริเวณใต้ชายโครงขวา อาจมีอาการปวดหลังและไหล่ร่วมด้วย • มีไข้ไม่ทราบสาเหตุ • คันบริเวณผิวหนังทั่วร่างกาย • อุจจาระมีสีซีดและปัสสาวะมีสีเข้ม • เหนื่อย อ่อนเพลีย • เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดลง • คลื่นไส้ อาเจียน • คลำหน้าท้องพบตับโต
การวินิจฉัยโรค • การซักประวัติและตรวจร่างกาย • การตรวจเลือดดูการทำงานของตับและสารบ่งชี้มะเร็ง • การตรวจอัลตราซาวนด์ตับและช่องท้องส่วนบน • การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) • การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) การรักษาโรคมะเร็งท่อน้ำดี การรักษาโรคมะเร็งท่อน้ำดีแพทย์จะพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ขนาด ตำแหน่ง และลักษณะของเซลล์มะเร็ง ระยะโรคและการกระจายของมะเร็ง สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย เพื่อวางแผนการรักษาที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย • การผ่าตัด เป็นการรักษาหลักของโรคมะเร็งท่อน้ำดี o การผ่าตัดเนื้องอก เป็นวิธีการรักษามาตรฐานที่ได้ผลดีและเพิ่มอัตรารอดชีวิตของผู้ป่วยได้ o การผ่าตัดระบายท่อน้ำดี ในผู้ป่วยที่คาดว่าสามารถผ่าตัดเนื้องอกได้แต่ในขณะที่ผ่าตัดพบว่าระยะโรคไม่สามารถผ่าตัดออกได้ ควรได้รับการผ่าตัดระบายท่อน้ำดีเพื่อรักษาอาการคันและตัวเหลืองตาเหลือง • การส่องกล้องตรวจรักษาท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (endoscopic retrograde cholangiopancreatography: ERCP) ใช้ในกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดเนื้องอกออกได้หรือผู้ป่วยไม่สามารถเข้ารับการผ่าตัดได้ • เคมีบำบัด/รังสีรักษา ใช้ในกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดเอามะเร็งออกได้หมด หรือใช้ในการรักษาหลังผ่าตัดเพื่อเพิ่มโอกาสการหายขาด การติดตามผลการรักษา ผู้ป่วยควรได้รับการติดตามผลการรักษาโดยวิธีสังเกตอาการและตรวจอัลตราซาวนด์หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ทุก 3-6 เดือนจนครบ 2 ปี ที่มา : https://www.bumrungrad.com/th/liver-center-treatment-transplant-bangkok-thailand/conditions/cholangiocarcinoma

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

บทความโดย นพ. ศิวัฒม์ ภู่ริยะพันธ์ หน่วยศัลยศาสตร์ระบบปัสสาวะ (Urosurgery) ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รหัสเอกสาร SD-HA-IMC-044-R-00
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เกิดจากการแบ่งตัวที่ผิดปกติของเซลล์เยื่อบุผนังด้านใน ก่อนพบเป็นก้อนเนื้องอก ถ้าไม่มีการลุกลามผ่านชั้นเยื่อบุผนังด้านใน จัดว่าเป็นมะเร็งที่ไม่มีพฤติกรรมรุนแรง และส่วนใหญ่มักจะไม่ลุกลาม (non-muscle invasive bladder cancer) แต่ในผู้ป่วยบางรายมีการลุกลามของมะเร็งลงไปยังชั้นกล้ามเนื้อชั้นกลาง เยื่อหุ้มชั้นนอก ชั้นไขมันรอบกระเพาะปัสสาวะ รวมถึงอวัยวะข้างเคียง เช่น ต่อมลูกหมาก ถุงพักน้ำอสุจิในเพศชาย มดลูก ช่องคลอดในเพศหญิง ท่อปัสสาวะ หรือทวารหนักที่อยู่ด้านหลัง ในผู้ป่วยกลุ่มนี้บางรายมีการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังอวัยวะอื่น ได้แก่ ต่อมน้ำเหลือง ปอด ตับ กระดูก เป็นต้น ซึ่งมะเร็งในกลุ่มหลังนี้มีพฤติกรรมค่อนข้างรุนแรง (muscle invasive bladder cancer) อาการและอาการแสดง ปัสสาวะปนเลือด พบว่า 70-80% ของผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มารับการรักษาด้วยอาการปัสสาวะปนเลือด มักจะเป็นๆ หายๆ และไม่มีอาการปวดร่วมด้วย อาการผิดปกติของการถ่ายปัสสาวะ ประมาณ 20% ของผู้ป่วยมาด้วยอาการปัสสาวะบ่อย กลั้นปัสสาวะไม่ได้ หรือปัสสาวะแสบขัด ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ของอาการเหล่านี้ คือ การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ อาการอันเนื่องจากการแพร่กระจายของมะเร็ง ได้แก่ ปวดกระดูกเนื่องจากการกระจายไปที่กระดูก ปวดเอวเนื่องจากการอุดตันของท่อไต เป็นต้น อาการแสดง และการตรวจร่างกาย มะเร็งในระยะแรกมักจะตรวจร่างกายไม่พบความผิดปกติ แต่ในระยะที่มีการแพร่กระจาย อาจจะตรวจพบว่ามีไตโตเนื่องจากการอุดตันท่อไตของมะเร็ง มีตับโตจากการกระจายไปยังตับ คลำพบต่อมน้ำเหลือง หรือมีขาบวม ถ้ามีการกระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง
การตรวจวินิจฉัย การตรวจปัสสาวะ การตรวจพบเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะมากผิดปกติ อาจมีสาเหตุจากมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ แม้ว่าสาเหตุส่วนใหญ่จะเกิดจากการอักเสบของทางเดินปัสสาวะหรือนิ่วก็ตาม ผู้ป่วยที่ควรได้รับการตรวจเพิ่มเติมกรณีที่มีเม็ดเลือดแดงมากผิดปกติ ได้แก่ ผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 50 ปี หรือ ผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ การตรวจเพิ่มเติม ได้แก่ การฉีดสารทึบแสงเพื่อประเมินไตและท่อไต (Excretory urography หรือ IVP) การส่องกล้องเพื่อตรวจกระเพาะปัสสาวะ (Cystoscopy) การตรวจหาเซลล์มะเร็งในน้ำปัสสาวะ (Urine cytology) สำหรับผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่ำ ได้แก่ ผู้ป่วยที่มีอายุน้อยกว่า 40 ปี และไม่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดกระเพาะปัสสาวะ อาจตรวจหาเซลล์มะเร็งในน้ำปัสสาวะ และการตรวจอัลตราซาวน์ของช่องท้องก็เพียงพอ การตรวจหาเซลล์มะเร็งในน้ำปัสสาวะ (Urine cytology) เป็นการตรวจหามะเร็งทางเดินปัสสาวะที่ค่อนข้างง่าย โดยเก็บตัวอย่างน้ำปัสสาวะจากผู้ป่วย ตัวอย่างปัสสาวะควรเก็บจากการถ่ายปัสสาวะครั้งแรกในตอนเช้า การตรวจนี้มีความแม่นยำถึง 80% แต่มีความไว (Sensitivity หมายถึง ความสามารถในการตรวจพบโรคในกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคจริง) ค่อนข้างต่ำเพียง 16% การส่องกล้องตรวจกระเพาะปัสสาวะ (Cystoscopy) เป็นการตรวจที่สำคัญที่สุดในการวินิจฉัยมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ สามารถตรวจหาตำแหน่ง ขนาด จำนวน และรูปร่างของเนื้องอก ซึ่งสามารถแยกชนิดได้ว่าเป็นมะเร็งชนิดลุกลามหรือไม่ลุกลาม และที่สำคัญที่สุด คือ การตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจทางพยาธิวิทยาเพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรคมะเร็ง การตรวจเอกซ์เรย์ปอด (Chest film) เพื่อดูว่ามีการกระจายของมะเร็งไปยังปอดหรือไม่ หลังได้รับการวินิจฉัยแล้วว่า เป็นมะเร็งชนิดที่มีอาการลุกลาม การตรวจเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ช่องท้อง (CT abdomen) เป็นการตรวจเพื่อค้นหาการลุกลามของมะเร็งไปยังอวัยวะข้างเคียง ต่อมน้ำเหลืองและตับ หลังได้รับการวินิจฉัยแล้วว่าเป็นมะเร็งชนิดที่มีอาจการลุกลาม เป็นการประเมินระยะของมะเร็ง เพื่อเป็นข้อมูลในการพิจารณาให้การรักษาที่เหมาะสม การตรวจเอกซ์เรย์กระดูก (Bone scan) เป็นการตรวจเพื่อดูว่า มีการกระจายของมะเร็งไปยังกระดูกหรือไม่ เลือกทำเฉพาะในรายที่มีอาการปวดกระดูก หรือมีระดับแคลเซียมในเลือดสูงผิดปกติ ระยะของโรค ระยะของโรคมีความสำคัญในการพิจารณาเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม โดยแบ่งเป็น 4 ระยะ คือ ระยะที่ 1 มะเร็งจำกัดอยู่ในชั้นเยื่อบุผนังด้านในของกระเพาะปัสสาวะ ระยะที่ 2 มะเร็งมีการลุกลามเข้าสู่ชั้นกล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะ ระยะที่ 3 มะเร็งมีการลุกลามไปยังชั้นไขมันรอบกระเพาะปัสสาวะ ระยะที่ 4 มะเร็งมีการกระจายไปยังอวัยวะข้างเคียง ต่อมน้ำเหลือง หรืออวัยวะอื่นๆ การรักษา มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มที่มักจะไม่มีการลุกลาม (Non-muscle invasive bladder cancer) ซึ่งจะจำกัดอยู่ในชั้นเยื่อบุผนังด้านใน 2. กลุ่มที่มีการลุกลาม (Muscle invasive bladder cancer) ซึ่งมีการลุกลามเข้าสู่ชั้นกล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะเป็นอย่างน้อย โดยมะเร็งทั้งสองกลุ่มสามารถแยกได้โดยการส่องกล้องตรวจกระเพาะปัสสาวะ และการตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา อย่างไรก็ตามกลุ่มแรกอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นมะเร็งกลุ่มที่สองได้ จึงจำเป็นต้องนัดตรวจซ้ำเป็นระยะ หลังได้รับการรักษาแล้ว การรักษามะเร็งที่มักไม่มีการลุกลาม คือ การลดโอกาสการกลับเป็นซ้ำและโอกาสการเปลี่ยนแปลงไปเป็นชนิดที่มีการลุกลาม ซึ่งการรักษาที่เหมาะสม คือ การผ่าตัดโดยใช้กล้องส่องผ่านท่อปัสสาวะเข้าไปตัดเนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะ (Transurethral resection of bladder tumor, TUR-BT) อาจมีการใส่ยาฆ่าเซลล์มะเร็งเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะผ่านสายสวนปัสสาวะ ใช้ในกรณีที่เนื้องอกมีขนาดใหญ่กว่า 2 เซนติเมตร เนื้องอกมีหลายตำแหน่ง หรือมีการกลับเป็นซ้ำภายใน 1 ปีหลังการผ่าตัด ยาฆ่ามะเร็งที่ใช้ ได้แก่ BCG, Thiotepa, Mitomycin C, Adriamycin, Epirubicin, Interferon เป็นต้น สำหรับมะเร็งกลุ่มที่มีการลุกลาม การรักษาขึ้นอยู่กับระยะของโรค โดยมะเร็งระยะที่ 2 อาศัยการรักษาโดยการผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะแบบถอนรากถอนโคน (Radical Cystectomy) เป็นการตัดกระเพาะปัสสาวะออกทั้งหมด รวมทั้งท่อไตส่วนปลาย ต่อมน้ำเหลืองในอุ้งเชิงกราน ในผู้ป่วยชายต้องตัดต่อมลูกหมากและถุงพักน้ำอสุจิออกด้วย สำหรับผู้ป่วยหญิงต้องตัดมดลูก ท่อนำไข่ รังไข่ และช่องคลอดบางส่วนออกด้วย หลังจากนั้นจำเป็นต้องใช้ลำไส้บางส่วนมาสร้างเป็นถุงเก็บน้ำปัสสาวะทดแทนกระเพาะปัสสาวะที่ถูกตัดออก และระบายน้ำปัสสาวะออกจากร่างกายผ่านผนังหน้าท้อง ทวารหนัก หรือท่อปัสสาวะ ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ป่วย การทำงานของไตผู้ป่วย ระยะของโรค และความถนัดของแพทย์ผู้รักษา มะเร็งในระยะที่ 1 และ 2 สามารถรักษาให้หายขาดได้ค่อนข้างสูง มะเร็งระยะที่ 3 จำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะแบบถอนรากถอนโคน ร่วมกับการให้ยาเคมีบำบัดหลังการผ่าตัด เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงต่อการกลับเป็นซ้ำ และการกระจายไปยังอวัยวะอื่น มะเร็งระยะที่ 4 ซึ่งมีการกระจายไปยังอวัยวะอื่นทำให้มีโอกาสหายขาดน้อยมาก การผ่าตัดแบบถอนรากถอนโคนไม่สามารถทำให้ผู้ป่วยหายจากโรคได้ เป้าหมายของการรักษาในระยะนี้ คือ การประคับประคองให้ผู้ป่วยได้รับความทรมานจากโรคและผลข้างเคียงจากการรักษาน้อยที่สุด การรักษาที่เหมาะสม คือ การให้เคมีบำบัดผ่านทางเส้นเลือด จากการศึกษาพบว่ามีการตอบสนองต่อยาเพียง 20%

ตับอ่อนอักเสบ มะเร็งตับอ่อน และถุงน้ำในตับอ่อน

อาจเป็นโรคที่พบได้ไม่บ่อยนักเมื่อเทียบกับโรคในระบบทางเดินอาหารอื่น ๆ แต่โรคที่เกี่ยวกับตับอ่อนเหล่านี้มีความรุนแรงและในบางกรณีไม่มีอาการบ่งชี้และไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน ความรู้เกี่ยวกับปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคและอาการที่ควรเฝ้าระวังช่วยให้ผู้ป่วยโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงได้ตระหนักและรีบมาพบแพทย์ให้เร็วที่สุด เพราะยิ่งตรวจพบเร็วเท่าไรโอกาสหายจากโรคก็ยิ่งมีมากเท่านั้น Better Health ฉบับนี้รวบรวมความรู้ที่เกี่ยวข้องกับโรคของตับอ่อนมาฝากกัน รู้จักกับตับอ่อน ตับอ่อนเป็นอวัยวะหนึ่งในระบบทางเดินอาหาร มีลักษณะเป็นต่อมขนาดใหญ่ มีรูปร่างยาวรีคล้ายใบไม้ ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ตำแหน่งของตับอ่อนนั้นไม่ได้อยู่ในช่องท้อง แต่อยู่ด้านหลังของกระเพาะอาหารใกล้กับลำไส้เล็กส่วนต้น ตับอ่อนประกอบด้วยเซลล์หลัก 2 ชนิด คือ เซลล์จากต่อมไร้ท่อ มีหน้าที่สร้างฮอร์โมนหลายชนิด อาทิ อินซูลินและกลูคากอน ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด และเซลล์จากต่อมมีท่อที่มีหน้าที่สร้างน้ำย่อยอาหารโดยเฉพาะไขมัน โดยน้ำย่อยจะผ่านเข้าไปในลำไส้เล็กผ่านทางท่อตับอ่อน
โรคตับอ่อนอักเสบ โรคที่เกิดกับตับอ่อนที่พบได้บ่อยที่สุด ได้แก่ โรคตับอ่อนอักเสบ เป็นภาวะที่น้ำย่อยในตับอ่อนไม่สามารถไหลผ่านท่อของตับอ่อนได้ ทำให้เกิดการย่อยเนื้อเยื่อของตัวตับอ่อนเอง ส่งผลให้เกิดการอักเสบขึ้น เมื่อมีการอักเสบหลายครั้งเข้าก็จะกลายเป็นการอักเสบแบบเรื้อรัง และจะเริ่มมีหินปูนไปเกาะที่ตับอ่อน ทำให้ตับอ่อนมีขนาดเล็กลง สมรรถภาพในการทำงานลดลง “การอักเสบของตับอ่อนแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดคือ การอักเสบแบบเฉียบพลัน และการอักเสบแบบเรื้อรัง โดยผู้ป่วยจะมีอาการอักเสบแบบเฉียบพลันก่อน หากโรคไม่หายขาดหรือกลับมาเป็นอีกเพราะสาเหตุยังคงอยู่ ก็จะกลายเป็นการอักเสบแบบเรื้อรัง” ในการอักเสบแบบเฉียบพลันนั้น ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องอย่างมากและปวดตลอดเวลา โดยจะปวดร้าวไปทางด้านหลังเหมือนโดนมีดแทงนอกจากนี้ยังอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย แต่ก็เป็นไปได้ที่ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีอาการปวดเลยแต่พบได้น้อยมาก ส่วนการอักเสบแบบเรื้อรัง ผู้ป่วยอาจปวดท้องไม่มากแต่มักมีอาการอื่น ๆ ตามมา เช่น ปวดท้องเรื้อรัง ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ เกิดโรคเบาหวาน ท้องเสียเรื้อรังเพราะไม่สามารถย่อยไขมันได้ ถ่ายอุจจาระมีไขมันลอยอยู่ น้ำหนักลด มีอาการตาเหลืองตัวเหลือง เป็นต้น ปัจจัยการเกิดโรค การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนักและนิ่วในถุงน้ำดีเป็นสาเหตุหลักของโรคที่พบได้มากที่สุด ส่วนสาเหตุอื่นๆ ได้แก่ ภาวะไตรกลีเซอไรด์สูง ผลข้างเคียงของยาบางชนิด โรคภูมิต้านตนเอง มีพยาธิหรือไวรัสบางอย่าง “มีประมาณร้อยละ 5 – 10 ที่เราไม่พบสาเหตุของโรค ผู้ป่วยกลุ่มนี้จึงมีโอกาสกลับมาเป็นโรคได้อีก เพราะเราไม่รู้ว่าต้นเหตุคืออะไร” การวินิจฉัยและรักษา ผู้ป่วยโรคตับอ่อนอักเสบที่มีอาการไม่รุนแรงมักมาพบแพทย์ด้วยอาการปวดท้อง ท้องอืด เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ซึ่งการตรวจเลือดเพื่อดูเอนไซม์ของตับอ่อนที่ขึ้นสูง ร่วมกับการทำอัลตราซาวนด์และเอกซเรย์คอมพิวเตอร์จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยได้ว่ามีอาการตับอ่อนอักเสบหรือไม่ เมื่อพบว่าผู้ป่วยมีอาการตับอ่อนอักเสบ แพทย์จะทำการรักษาโดยให้ งดน้ำ งดอาหาร เพื่อหยุดการทำงานของตับอ่อน ร่วมกับการให้ยาลดอาการปวด และให้น้ำ 24 - 48 ชั่วโมงเพราะผู้ป่วยจะมีอาการของภาวะขาดน้ำ ในกรณีที่มีการอักเสบมากจนเกิดการเน่าตายของเนื้อเยื่อตับอ่อน จะมีโอกาสติดเชื้อสูง แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะและอาจต้องทำการผ่าตัดเพื่อเปิดเข้าไปล้างทำความสะอาด “โรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลันสามารถรักษาให้หายขาดได้ ถ้าตรวจพบสาเหตุของโรค เช่น พบว่ามีนิ่วในถุงน้ำดีเราก็ผ่าตัดออกไป ดังนั้นถ้าตรวจพบเร็วและไม่มีโรคแทรกซ้อน โรคนี้ถือเป็นโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตต่ำ ส่วนโรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรังที่ยังหาสาเหตุไม่ได้นั้น ผู้ป่วยจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพราะเป็นกลุ่มเสี่ยงที่โรคอาจพัฒนาไปเป็นโรคอื่น ๆ เช่น เบาหวาน หรือมะเร็งในตับอ่อนได้” มะเร็งตับอ่อน แม้จะพบไม่บ่อยนักในประเทศไทย แต่จำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งตับอ่อนก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด ขณะที่องค์การอนามัยโลกรายงานว่ามะเร็งตับอ่อนเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตสูงเป็นอันดับเจ็ดของการเสียชีวิตจากมะเร็งทั่วโลกและเป็นอันดับสี่ในสหรัฐอเมริกา อาการและสาเหตุ มะเร็งตับอ่อนจัดเป็นมะเร็งชนิดร้ายแรงเนื่องจากตรวจพบได้ยากและอาการในระยะแรกไม่จำเพาะ ผู้ป่วยอาจมาพบแพทย์ด้วยอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสียเบื่ออาหาร ตัวเหลือง หรือไม่มีอาการเลยก็ได้ แต่พบจากการตรวจสุขภาพทั่วไปที่แพทย์เกิดข้อสงสัยจากผลการตรวจเลือด และแนะนำให้ทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ สำหรับสาเหตุของโรคนั้น ปัจจุบันยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจน แต่งานวิจัยพบว่าการสูบบุหรี่ การรับประทานอาหารที่มีไขมันสัตว์ในปริมาณสูงรวมถึงความผิดปกติทางพันธุกรรม อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคได้ เช่นเดียวกับผู้ป่วยโรคตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง หรือผู้ป่วยที่มีถุงน้ำในตับอ่อน การรักษา การผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกเป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุด ซึ่งทำได้ในกรณีที่ตรวจพบเร็วและมะเร็งยังไม่แพร่กระจาย “หลายครั้งที่กว่าจะพบ ผู้ป่วยก็เป็นมากแล้วคืออยู่ในระยะที่ไม่สามารถผ่าตัดได้และมีอัตราการรอดชีวิตต่ำ ดังนั้น เราจะแนะนำให้ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ อาจจะทุก 6 เดือน หรือ 1 ปี” ในช่วงท้ายการเจ็บป่วยนั้น บางครั้งอาจยังไม่ทราบสาเหตุและไม่มีอาการบ่งชี้เฉพาะ อย่านิ่งนอนใจหากคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงเพราะเรื่องของสุขภาพนั้นประมาทไม่ได้ ถุงน้ำในตับอ่อน ถุงน้ำ หรือ ซีสต์ (cysts) เป็นความผิดปกติของอวัยวะหรือของเนื้อเยื่อที่เกิดได้แทบทุกส่วนของร่างกายรวมถึงในตับอ่อน โดยถุงน้ำจะมีลักษณะเป็นถุงปิด ภายในอาจมีน้ำ ของเหลว หรือก้อนเนื้อนิ่ม ๆ ที่เกิดจากของเหลวปนกับเนื้อเยื่อ โรคถุงน้ำในตับอ่อนเป็นโรคที่พบได้ค่อนข้างน้อย และโดยทั่วไปถุงน้ำจะมีขนาดเล็กผู้ป่วยจึงมักไม่มีอาการ แต่ตรวจพบได้จากการอัลตราซาวนด์หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ซึ่งหากนำของเหลวภายในไปตรวจแล้วไม่มีข้อบ่งชี้ใดๆ แพทย์จะเพียงแค่ตามดูอาการว่าถุงน้ำมีขนาดใหญ่ขึ้นหรือไม่ แต่ถ้าพบว่ามีโอกาสพัฒนาไปเป็นมะเร็ง แพทย์จะแนะนำให้ผ่าตัดออกทันที ถุงน้ำในตับอ่อนเกิดได้กับทุกคน ทุกเพศทุกวัย นับเป็นหนึ่งในโรคที่ผู้ป่วยได้ประโยชน์จากการเข้ารับการตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ ที่มา : https://www.bumrungrad.com/th/betterhealth/2557/better-digestive-health/pancreatic-diseases

มะเร็งไต

เป็นที่ทราบกันดีว่า ไตเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย แม้ว่าอุบัติการณ์ของมะเร็งไตในคนไทยจะต่ำมากเมื่อเทียบกับมะเร็งอื่นๆ โดยพบต่ำกว่า 10 รายต่อประชากร 100,000 คน แต่มีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นทุกปี ปัจจัยเสี่ยง • การสูบบุหรี่ • กลุ่มโรคบางโรค เช่น von Hippel-Lindau, Tuberous sclerosis • โลหะหนัก เช่น แคดเมียม ตะกั่ว • รังสีจากสาร Thoratrast • การรับประทานวิตามินเอน้อยเกินไป • อาจจะมีสาเหตุจากการเปลี่ยนแปลงที่ Eshort arm of chromosome 3(3p)
อาการและอาการแสดง • อาการที่พบบ่อยเรียงตามลำดับ คือ ปัสสาวะเป็นเลือด (56%), ปวด (38%), คลำได้ก้อน (36%), น้ำหนักลด และอ่อนเพลีย (27%), ไข้ (11%) พบโดยบังเอิญจากการตรวจเนื่องจากสาเหตุอื่นๆ (6%) • อาจจะพบอาการเนื่องจากการกระจายของมะเร็งไปที่ตำแหน่งอื่น เช่น การกระจายของมะเร็งไปที่ปอด, กระดูก, ตับ, สมอง และตำแหน่งอื่นซึ่งพบได้ไม่บ่อยนัก ได้แก่ ผิวหนัง, ถุงน้ำดี, iris, epididymis, corpus cavenosum • อาการเนื่องจาก Paraneoplastic syndrome ประมาณ 30% ของผู้ป่วยจะมีอาการของ Paraneoplastic syndrome ได้แก่ Eanemia, erythrocytosis, Thrombocytosis, hypertension, hypercalcemia, gynecomastia, Cushing’s syndrome, nephritic syndrome, amyloidosis, polymyositis, dermatomyositis and hepatic dysfunction without metastases (Stauffer’s syndrome) การวินิจฉัย มีดังนี้คือ 1) Urinalysis จะพบเม็ดเลือดแดงในปัสสาวะมากกว่า 50% แต่ไม่เฉพาะเจาะจง 2) Urine cytology ผลที่ได้ค่อนข้างน้อย 3) Intravenous pyelogram (IVP) สามารถบอกถึงก้อนที่อยู่บริเวณไตได้แต่ไม่สามารถบอกขนาด, ตำแหน่ง, ลักษณะภายในก้อนได้ชัดเจน 4) Ultrasound สามารถแยกระหว่างถุงน้ำและก้อนเนื้อได้ 5) CT Scan เป็นวิธีการที่มี sensitivity และ specificity สูงมาก, accuracy ประมาณ 90% และยังสามารถช่วยในการบอกถึงระยะของโรคโดยดู capsular 6) Renal angiography นิยมใช้ในอดีตซึ่งยังไม่มี CT Scan ในปัจจุบันยังมีการใช้อยู่บ้างก่อนผ่าตัดเพื่อให้รู้ถึงตำแหน่งของเส้นเลือด หรืออาจจะทำ renal artery embolization เพื่อลดการเสียเลือดระหว่างผ่าตัดระหว่างผ่าตัด 7) MRI มี sensitivity และ specificity เท่าเทียมกับ CT Scan มีประโยชน์เหนือกว่า CT Scan คือสามารถสร้างภาพในแนว sagittal และดู vascular anatomy ได้ดีกว่า, ไม่ต้องใช้ Eiodinated contrast ซึ่งเหมาะแก่ผู้ป่วยที่แพ้ไอโอดีน แต่มีข้อด้อยกว่า CT คือ ราคาแพงกว่า, อาจจะมี motion artifact, ดู calcification ได้ไม่ดี 8) Biopsy อาจจะใช้ Efluoroscopic, ultrasound, หรือ CT-guided การรักษา การรักษาโรคมะเร็งไตยังเป็นเรื่องค่อนข้างยาก เพราะมักตรวจพบช้า การรักษาที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นการผ่าตัดเพื่อเอารอยโรคออกซึ่งจะได้ผลดีเฉพาะในรอยโรคขนาดเล็กและยังไม่มีการลุกลาม การฉายรังสีและเคมีบำบัดเป็นเพียงการรักษาเสริมเพื่อให้การควบคุมโรคดีขึ้นหรือเป็นการบรรเทาอาการในระยะลุกลามหรือแพร่กระจาย
หลักการรักษามีดังนี้ คือ 1) Renal cell carcinoma ทั้ง primary และตำแหน่งของโรคที่กระจายไปจะมีเลือดมาเลี้ยงมาก ซึ่งเป็นข้อระวังของศัลยแพทย์ ลักษณะการดำเนินของโรค มีข้อพึงสังเกต คือ • อาจมี spontaneous regression ได้ แต่อุบัติการณ์นั้นน้อยกว่า 1% • อาจจะมี late recurrence ได้ บางครั้งพบได้ถึง 30 ปีหลังจากทำ nephrectomy ไปแล้ว • บางครั้งแม้ว่าจะมีการกระจายของโรคไปที่อื่นแล้ว ผู้ป่วยก็ยังมีชีวิตได้ยาวนานพอสมควร 2) การผ่าตัด เป็นวิธีเดียวที่สามารถทำให้ผู้ป่วยบางคนหายขาดจากโรคได้ อัตราการอยู่รอดที่ 5 ปี ประมาณ 35-45% • การรักษาหลักของ renal cancer คือ Radical nephrectomy โดยจะต้องผูก renal vein pedicle • ก่อนที่จะตัดไตเพื่อป้องกัน tumor embolization • Lymphadenectomy สามารถดูการกระจายของโรคไปยังต่อมน้ำเหลือง แต่อย่างไรก็ตามผลต่ออัตราการอยู่รอดนั้นยังไม่ชัดเจน โดยทั่วไปแล้วศัลยแพทย์มักจะทำ Limited lymphadenectomy ร่วมไปกับ nephrectomy • การทำ Nephrectomy ในผู้ป่วยเพื่อหวังผล spontaneous regression ของโรคที่กระจายไปที่อื่นนั้นไม่เหมาะสม เพราะโอกาสที่จะเกิด spontaneous regression นั้นน้อยกว่า 1% แต่อัตราการตายจากการทำ Nephrectomy นั้นประมาณ 6% • Bilateral renal cell carcinoma นั้น พบได้ประมาณ 2-3% รักษาโดยทำ Conservative Surgery ของไตด้านที่มีมะเร็งน้อยกว่า • การทำ Renal transplantation โดยทั่วไปแล้วจะไม่ทำเพราะต้องใช้ Eimmosuppressive therapy ซึ่งจะทำให้มะเร็งเกิดขึ้นมาใหม่ 3) การรักษาด้วยรังสี บทบาทของรังสีใน renal cell carcinoma นั้น เพียงเพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น (palliative treatment) สำหรับบทบาทที่ช่วยเสริมกับการผ่าตัดหรือใช้รังสีรักษาชนิดเดียวในการรักษาเพื่อมุ่งหวังให้หายขาดนั้น ยังไม่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปเนื่องจากไตยู่ในตำแหน่งมีอวัยวะที่ทนต่อรังสีได้ไม่มากอยู่ล้อมรอบ เช่น กระเพาะอาหาร, ตับ, ลำไส้, ไขสันหลัง จึงสามารถให้รังสีได้เพียง 45-50 GY 4) การรักษาด้วยยาเคมีบำบัด บทบาทของยาเคมีบำบัดใน renal cell carcinoma ค่อนข้างน้อย มีอัตราการตอบสนองต่อยาเพียงประมาณ 10-20% และเป็นช่วงเวลาสั้นๆ นอกจากนี้ได้มีการนำฮอร์โมนหลายชนิด เช่น progestational agent, androgens มาใช้ แต่อัตราการตอบสนองก็ยังต่ำอยู่และเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เช่นเดียวกับยาเคมีบำบัด 5) Immunotherapy อัตราการตอบสนองต่อ immunotherapy สูงกว่าการใช้ยาเคมีบำบัดเล็กน้อย โดยยาที่ใช้มีอยู่ 3 กลุ่ม ซึ่งมีหลักการดังนี้คือ • IFN (Interferon) อัตราการตอบสนองต่อยาประมาณ 15-20% • Interlenkin-2 และ lymphokine-activated killer (LAK) cells อัตราการตอบสนองประมาณ 16-33% • Active specific immunotherapy with vaccines ซึ่งเป็น vaccine ที่ทำจาก tumor cell ของผู้ป่วยคนนั้นอัตราการตอบสนองประมาณ 20-25% ผลการรักษา • ระยะที่ 1 และ 2 หลังจากที่ทำ Nephrectomy อัตราการอยู่รอดที่ 5 และ 10 ปีประมาณ 50-90% และ 20-65% ตามลำดับ • ระยะที่ 3 หลังจากการรักษาด้วย Nephrectomy อัตราการอยู่รอดที่ 5 ปีประมาณ 20-60% • ระยะที่ 4 พยากรณ์โรคในระยะนี้ต่ำมาก อัตราการอยู่รอดที่ 3 ปีประมาณ 5% และยังไม่มีการรักษาที่เป็นมาตรฐานสำหรับโรคในระยะนี้อาจจะใช้รังสีหรือ immunotherapy เพื่อบรรเทาอาการ ข้อแนะนำและควรปฏิบัติ การรักษามะเร็งไตนั้นยิ่งมีข้อจำกัดมาก มะเร็งของไตนั้นอาจพบได้ในไตทั้งสองข้างถึงร้อยละ 5-10 ของผู้ป่วย ซึ่งอาจทำการรักษาโดยการผ่าตัดเอาไตออกบางส่วนหรือหากจำเป็นอาจต้องทำการผ่าตัดไตทั้งสองข้างแล้วตามด้วยการทำล้างไต (dialysis) หรือการปลูกไต (transplantation) ซึ่งจะมีอัตราการอยู่รอด 5 ปีได้ถึงร้อยละ 60 บางคนที่มีรอยโรคขนาดเล็กอาจจะผ่าตัดเพียงตัดก้อนเนื้องอกออกก็มีอัตราการอยู่รอด 3 ปีสูงได้ถึงร้อยละ 90 โดยไม่ต้องทำการล้างไต และพบว่าผู้ป่วยที่เป็นพร้อมกันทั้ง 2 ข้างตั้งแต่เริ่มแรกจะมีโอกาสดีกว่าการเป็นทีละข้าง โดยมีอัตราการอยู่รอดที่ 5 ปีเป็นร้อยละ 78 และร้อยละ 38 ตามลำดับ แม้ว่ามะเร็งของไตจะเป็นโรคที่เคยมีข้อจำกัดในการรักษา แต่วิทยาการแผนใหม่ของไตเทียมก็ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยมะเร็งไตได้รับการรักษาเต็มที่ และมีชีวิตที่ดีได้ไม่ต่างจากผู้ป่วยไตวาย ดังนั้น สำหรับมะเร็งของอวัยวะที่สำคัญนี้การหลีกเลี่ยงสารก่อมะเร็ง และการเฝ้าระวังโรค การตรวจร่างกายประจำปีรวมถึงการตรวจเลือดและปัสสาวะ อาจจะทำให้อัตราการเป็นมะเร็งลดต่ำลง หรือแม้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ก็ยังหยุดโรคไว้ที่ระยะอาจรักษาให้หายขาดได้โดยไม่ต้องสูญเสียไตไป ที่มา : http://www.siamca.com/knowledge-id145.html

มะเร็งในช่องปาก

อวัยวะในช่องปากอาจเกิดโรคมะเร็งได้ในทุกตำแหน่ง ได้แก่ ลิ้น กระพุ้งแก้ม ริมฝีปาก เหงือก เพดานปาก พื้นปากใต้ลิ้น ลิ้นไก่ ต่อมทอนซิล และส่วนบนของลำคอ มะเร็งในช่องปาก โดยมักพบในคนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป และพบน้อยลงหลังจากอายุ 60 ปีไปแล้ว แต่ปัจจุบันประชากรผู้สูงอายุมีมากขึ้นจึงอาจจะพบมะเร็งในช่องปากในผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นได้ และมักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง อาจจะเป็นเพราะผู้ชายมีปัจจัยเสี่ยงมากกว่า
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรค 1. พบว่าประมาณ 90% ของผู้ป่วยมะเร็งช่องปากเป็นผู้ที่สูบบุหรี่และดื่มสุรา จะมีโอกาสเป็นมะเร็งมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่และดื่มสุราถึง 15 เท่า 2. การรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ร้อนจัดเกินไป เนื่องจากความร้อนที่มาจากอาหาร ควันบุหรี่ และแอลกอฮอล์ จะทำให้เกิดการระคายเคือง เมื่อถูกระคายเคืองอยู่เป็นประจำ ทำให้เนื้อเยื่อเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และอาจทำให้กลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ 3. หมากพลู พบว่าในหมากพลูนี้จะมีสารก่อมะเร็ง ซึ่งผู้ที่กินหมากและอมหมากไว้ที่กระพุ้งแก้มเป็นประจำจะเกิดการระคายเคืองจากความแข็งของหมากที่เคี้ยว ก็อาจทำให้เซลล์ของเนื้อเยื่อกระพุ้งแก้มเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ 4. สุขภาพในช่องปากไม่ดี เช่น ฟันผุเรื้อรัง รวมถึงการระคายเคืองจากฟันที่แหลมคมผู้ที่มีฟันแตก ฟันบิ่น ขอบฟันที่คมจะบาดเนื้อเยื่อในช่องปากโดยเฉพาะกระพุ้งแก้มและลิ้น ทำให้เป็นแผลเรื้อรังอยู่นาน ๆ แผลนั้นอาจกลายเป็นมะเร็งได้ 5. แสงแดด ทำให้เกิดมะเร็งที่บริเวณริมฝีปาก 6. โรคติดเชื้อเรื้อรัง เช่น ซิฟิลิส วัณโรค 7. การระคายเคืองเรื้อรัง เช่น แผลจากฟันปลอม 8. เคยได้รับรังสีเอกซเรย์
การวินิจฉัย เนื่องจากมะเร็งในช่องปาก เป็นตำแหน่งที่มองเห็นได้ง่ายจากการตรวจร่างกาย ร่วมกับการตัดชิ้นเนื้อจากตำแหน่งที่สงสัยเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยา จึงสามารถทำให้การวินิจฉัยได้สะดวกและแม่นยำ ซึ่งขั้นตอนในการวินิจฉัยจะมีรายละเอียด ดังนี้คือ 1. การซักประวัติ 2. การตรวจร่างกาย แพทย์มักจะทำการตรวจศีรษะและคออย่างละเอียด รวมถึงสำรวจผิวหนังบริเวณใบหน้า ศีรษะ และคอ สำรวจเยื่อบุในปากโดยใช้ไม้กดลิ้นช่วย หรือใช้มือคลำในช่องปากหลังถอดฟันปลอมออกแล้ว ตลอดจนใช้เครื่องส่องดูบริเวณจมูก หู และโคนลิ้น บางรายอาจตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ 3. การตรวจเลือดและอื่น ๆ เช่น ปัสสาวะ พบว่า ร้อยละ 5 ของมะเร็งในช่องปากจะให้ผลวีดีอาร์แอล (VDRL) ให้ค่าผลเป็นบวก บางรายอาจต้องเจาะเลือดตรวจดูการทำงานของตับ (Liver function test) ด้วยในรายที่สงสัยว่าจะมีการลุกลามแพร่กระจายไปยังตับ ส่วนในรายที่มีการติดเชื้อหรือมีปอดอักเสบจากการสำลักเศษอาหารเข้าปอด แพทย์มักจะส่งหนองหรือเสมหะไปเพาะเชื้อตรวจ 4.การเอกซเรย์ จะช่วยวินิจฉัยว่ามะเร็งมีการแพร่กระจายลุกลามไปถึงกระดูกแล้วหรือไม่ และอาจช่วยพยากรณ์โรคด้วย 5. การตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยมักพิจารณาจากตำแหน่ง ขนาด และชนิดของก้อนนั่นเอง การแพร่กระจาย มะเร็งในช่องปาก มีการแพร่กระจายได้ 3 ทาง คือ 1. การลุกลามแพร่กระจายไปยังอวัยวะข้างเคียง (Local invasion) 2. เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองที่คอ (Lymphatic spread) พบได้บ่อย 3. เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปตามกระแสเลือด ซึ่งพบไม่บ่อย และมักจะเกิดขึ้นในรายที่เป็นมากแล้ว มะเร็งทางด้านหน้าของช่องปากมักจะโตช้าและกระจายช้ากว่ามะเร็งที่อยู่ด้านหลัง เช่น มะเร็งริมฝีปากจะโตช้ากว่ามะเร็งโคนลิ้น
อาการและอาการแสดง 1. เริ่มด้วยมีแผลในช่องปากรักษาไม่หายเป็นเวลานานเกิน 3 สัปดาห์ขึ้นไป และไม่เจ็บปวด 2. มีฝ้าขาวในช่องปาก ร่วมกับตุ่มนูนบนเยื่อบุช่องปากและลิ้น 3. มีก้อนไม่รู้สึกเจ็บในช่องปาก โตเร็ว และในที่สุดก็แตกออกเป็นแผล 4. ต่อมามีก้อนเกิดขึ้นที่คอ กดไม่เจ็บ บวมโตขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งแตกออกเป็นแผล โดยทั่วไปแล้วในระยะเริ่มแรกของมะเร็งมักไม่มีอาการเจ็บ นอกจากมีการอักเสบติดเชื้อร่วมด้วย แต่มะเร็งของลิ้นหรือลำคอในบางตำแหน่งอาจทำให้เกิดการเจ็บในหูขณะกลืนอาหารได้เพราะมีเส้นประสาทร่วมกัน บางครั้งจึงไม่ได้รับการใส่ใจกับการตรวจในช่องปากและลำคอโดยตรง การเป็นแผลหรือก้อนที่ตำแหน่งต่าง ๆ เช่น ริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม เพดานปาก ลิ้นไก่ ลิ้น และใต้ลิ้น สำหรับมะเร็งของลิ้นและพื้นปากใต้ลิ้นอาจทำให้มีอาการแลบลิ้นไม่ออก พูดไม่ชัด กลืนอาหารไม่สะดวก เพราะการเคลื่อนไหวของลิ้นไม่เป็นปกติ ในรายที่เป็นมากอาจจะมีการฝ่อของลิ้นได้ ในรายที่รอยโรคอยู่ใต้ขากรรไกร โดยเฉพาะเมื่ออยู่ที่เหงือกในตำแหน่งหลังต่อฟันกราม ซึ่งมีการลุกลามเข้าไปในกล้ามเนื้อที่ใช้ในการอ้าปากหรือขากรรไกรได้ง่าย จะทำให้อ้าปากได้ลำบาก การรักษา การรักษาขึ้นอยู่กับชนิดและตำแหน่งของมะเร็ง รวมทั้งระยะของโรคสำหรับรอยโรคขนาดเล็ก อาจผ่าตัดออกได้โดยไม่ทำให้เกิดการผิดรูปของใบหน้า สำหรับในบางตำแหน่ง เช่น ริมฝีปาก การใช้รังสีรักษาจะให้ผลการรักษาที่ดีเท่ากันกับการผ่าตัด แต่มีข้อดีที่เหนือกว่า คือ ยังสามารถรักษาโครงสร้างและการทำงานปกติไว้ได้ ส่วนในระยะลุกลาม จะใช้การรักษาร่วมระหว่างการผ่าตัดและการฉายรังสี ส่วนเคมีบำบัดนั้นอาจมีบทบาทร่วมในการลดขนาดก้อนที่ใหญ่มากก่อนเริ่มการรักษาด้วยการผ่าตัดหรือฉายรังสี การป้องกันและข้อควรปฏิบัติ 1. ควรแปรงฟันให้ถูกวิธีอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 3 – 5 นาที 2. ควรบ้วนปากหลังรับประทานอาหารทันทีและทุกครั้ง 3. ควรล้างฟันปลอมชนิดถอดได้หลังรับประทานอาหารทุกครั้ง และควรถอดออกเวลากลางคืน 4. ควรใช้ฟันทุกซี่เคี้ยวอาหาร ไม่ควรถนัดเคี้ยวข้างเดียว เพื่อให้เหงือกและฟันแข็งแรง 5. ควรไปพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน เพื่อตรวจหาสิ่งผิดปกติถึงแม้จะไม่มีอาการเจ็บปวดก็ตาม 6. ควรงดสิ่งเสพติด ได้แก่ เหล้า บุหรี่ ยาฉุน และหมากพลู 7. ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย 8. ควรใช้ยาตามทันตแพทย์และแพทย์สั่ง เพื่อผลการรักษาที่ดีและป้องกันการดื้อยา 9. หมั่นตรวจช่องปากอย่างง่าย ๆ ด้วยตนเอง http://health.kapook.com/view65575.html ภาพจาก โรงพยาบาลทันตกรรม คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

มะเร็งลำไส้เล็ก

เกิดจากอะไร สาเหตุ ปัจจัยที่ทำให้เกิด โรคมะเร็งลำไส้เล็ก คืออะไร รักษาโรคมะเร็งลำไส้เล็ก อย่างไร สำหรับผู้ป่วยมะเร็งลำไส้เล็กต้องดูแลอย่างไร โรคในระบบทางเดินอาหาร ความผิดปรกติของเซลล์ในร่างกาย โรคมะเร็งที่พบได้ไมบ่อย ความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็งลำไส้เล็ก มีอะไรบ้าง
ลำไส้เล็ก ทำความรู้จักกับ ลำไส้เล็ก หน้าที่ของลำไส้เล็ก นั้นคือ การย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหารที่ถูกย่อยเข้ากระแสเลือด เพื่อนำสารอาหารเหล่านั้นไปใช้ประโยชน์ ซึ่ง ลำไส้เล็ก นั้นมีความสำคัญต่อร่างกาย ซึ่งใน ลำไส้เล็ก นั้นบทบาทมากที่สุด ในลำไส้เล็กจะมี ติ่งที่ยื่นออกมา เราเรียกติ่งนี้ว่า วิลไล ภาษาอังกฤษ เรียก Villi ส่วนนี้ เป็นส่วนสำคัญที่ใช้เพื่อเพิ่มความสามารถในการดูดซึมสารอาหารของ ลำไส้เล็ก โครงสร้างลำไส้เล็ก ลำไส้เล็ก นั้นมีลักษณะเป็นท่อ เป็นกล้ามเนื้อ มีความยาวประมาณ 10 เมตร เป็นจุดที่เชื่อมต่อจากส่วนปลายของกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก นั้นจะสร้างน้ำย่อยออกมา เพื่อประโยชน์ในการย่อยอาหาร และการดูดซึมอาหารให้ได้มากที่สุด ลำไส้เล็ก(Small intestine) สามารถแบ่งได้ 3 ส่วน ประกอบด้วย ลำไส้เล็กตอนต้น เรียก Duodenum ลำไส้เล็กส่วนกลาง เรียก Jejurium และ ลำไส้เล็กส่วนปลาย เรียก lleum โดยรายละเอียดของลำไส้เล็กส่วนต่างๆ มีรายละเอียด ดังนี้ • ลำไส้เล็กส่วนต้น (Duodenum) คือส่วนที่ต่อจากกระเพาะอาหาร ส่วนนี้จะเป็นส่วนที่สั่นที่สุด เมื่อเทียบกับลำไส้เล็กส่วนอื่นๆ • ลำไส้เล็กส่วนกลาง (Jejunum) ส่วนนี้จะมีความยาวประมาณ 9 ฟุต อยู่ต่อจากลำไส้เล็กส่วนต้น • ลำไส้เล็กส่วนปลาย (Ileum) เป็นส่วนของลำไส้เล็กที่อยู่ปลาย อยู่ติดกับลำไส้ใหญ่ เป็นส่วนที่มีความยาวมากที่สุด เป็นส่วนที่มีความสามารถในการดูดซึมสารอาหารมากที่สุด ของลำไส้เล็ก โรคมะเร็งลำไส้เล็ก สำหรับอัตราการเกิดโรคมะเร็งลำไส้เล็ก นั้นเราไม่พบว่ามีการป่วย โรคมะเร็งลำไส้เล็กในอัตราที่สูง โดย อัตราการเกิดมะเร็งลำไส้เล็ก ไม่ถึงร้อยละ 1 ของการเกิดมะเร็งในอวัยวะทั้งหมดของร่างกาย แต่โรคมะเร็งชนิดนี้ เราจะพบว่าผู้สูงอายุ ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป มีอัตราการเกิดที่สูงกว่าช่วงอายุที่ต่ำกว่า 50 ปี และอัตราการเกิดโรคเพศชายจะมีอัตราส่วนที่สูงกว่าเพศหญิง มะเร็งลำไส้เล็ก คือ การเกิดความผิดปรกติของเซลล์ร่างกายบริเวณลำไส้เล็ก ลักษณะเป็นเนื้องอก ก้อนเนื้อร้าย ที่ลามมาจากอวัยวะใกล้เคียง หรือสามารถแพร่ไปสู่อวัยวะใกล้เคียงได้ เช่น กระเพาะอาหาร ท่อน้ำดี ตับอ่อน เป็นต้น สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้เล็ก การเกิดโรคมะเร็งลำไส้เล็กนั้น ในปัจจุบันเรายัง ไม่สามารถทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงของการเกิด มะเร็งลำไส้เล็ก ได้แน่ชัดนัก แต่มีการพบสารบางตัว ที่ออกมาจากน้ำย่อยจากตับอ่อนและน้ำดี เช่น กรดลิโธโคลิก(Lithocholic) เป็นต้น ปัจจัยที่ทำให้เกิดมะเร็ง มาจาก พันธุกรรม โรคเนื้องอกชนิดดีบริเวณเยื่อบุผิว เนื้องอกชนิดต่อมขนอ่อน แผลที่ลำไส้เล็ก เป็นต้น
ประเภทของมะเร็งลำไส้เล็ก การเกิดมะเร็งลำไส้เล็ก เราพบว่ามีหลายลักษณะ ซึ่งเราสามารถแบ่งประเภทของมะเร็งลำไส้เล็กได้ 4 ประเภท มีรายละเอียด ดังนี้ 1. มะเร็งลำไส้เล็กชนิดต่อม เกิดต่อมที่เยื่อเมือกลำไส้เล็กส่วนต้น และต่อมนี้เกิดการพัฒนาเป็นเนื้องอก 2. มะเร็งลำไส้เล็กชนิดคาซินอย(Carcinoid) เป็นการเกิดเนื้อร้ายจากเซลล์enterochromaffin โดยทั่วไปแล้วเนื้องอกที่เกิดขึ้น จะมีขนาดเล็กและส่วนใหญ่แล้วจะเกิดขึ้นที่ลำไส้เล็กเพียงจุดเดียว แต่เมื่อเนื้องอกนี้พัฒนาตัวจนมีขนาดใหญ่ขึ้น จะสามารถลามจนเกิดเนื้อร้ายได้ 3. มะเร็งลำไส้เล็กชนิดกล้ามเนื้อเรียบ เป็นการเกิดชั้นของกล้ามเนื้อ ลักษณะเรียบ ที่ลำไส้เล็ก 4. มะเร็งลำไส้เล็กชนิดเนื้อร้ายของต่อมน้ำเหลือง เป็นเนื้องอกชนิดร้าย เกิดจากต่อมน้ำเหลืองที่ผนังลำไส้เล็ก แต่มะเร็งชนิดนี้ มีความแตกต่างจากมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่รุกล้ำถึงลำไส้เล็ก
อาการของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้เล็ก อาการของมะเร็งลำไส้เล็ก นั้น ก็จะเกิด การผิดปรกติของระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเราสามารถสรุป อาการของโรคมะเร็งลำไส้เล็ก ได้ดังนี้ 1. มีอาการปวดท้องส่วนบน ปวดท้องตื้อๆ หลังรับประทานอาหาร อาการปวดสามารถลามไปปวดบริเวณหลัง 2. มีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน 3. มีเลือดออกที่ทางเดินอาหาร แบบเรื้อรัง สังเกตอาการจาก สีอุจจาระผิดปรกติ มีเลือดปนที่อุจจาระ อุจจาระมีสีดำ 4. น้ำหนักตัวลดลง ร่างกายอ่อนแอ โลหิตจาง 5. มีก้อนบริเวณท้องส่วนบนขวา เกิดจากเนื้องอก เนื้อร้าย มีขนาดใหญ่ขึ้นเมื่อเนื้องอกมีขนาดใหญ่ขึ้น วิธีการรักษามะเร็งลำไส้เล็ก การรักษาโรคมะเร็งลำไส้เล็ก นั้น หากพบว่ามีมะเร็ง ต้องทำการรักษาด้วยการตัดเนื้อร้ายออกและการฉายรังสี การทำเคมีบำบัด เพื่อป้องกันการเติบโตของเนื้อร้าย เราสามารถสรุป วิธีการรักษามะเร็งลำไส้ ได้ดังนี้ • การรักษามะเร็งลำไส้เล็กด้วยการผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดแพทย์จะทำการผ่าตัดลำไส้เล็ก หัวตับอ่อน การผ่าตัดท่อลำไส้เล็กแบบเป็นช่วงๆ และการผ่าตัดส่วนของกระเพาะอาหาร เป็นการตัดเนื้อร้ายออกจากร่างกาย แต่การผ่าตัดยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากเนื้อร้ายสามารถเจริญเติบโตได้ ดังนั้น ต้องมีการรักษาด้วยเคมีบำบัดควบคู่ไปด้วย • การรักษามะเร็งลำไส้เล็กด้วยการฉายรังสีและการทำเคมีบำบัด เป็นการทำให้เนื้อร้าย และเซลล์มะเร็งผ่อ ไม่สามารถเจริญเติบโตได้อีก วิธีการดูแลผู้ป่วยมะเร็งลำไส้เล็ก สำหรับการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้เล็กนั้น การลดการทำงานของระบบทางเดินอาหาร การใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่ส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญ วิธีการดูแลผู้ป่วยมะเร็งลำไส้เล็ก มีดังนี้ • ผู้ป่วยต้องเลิกการบุหรี่ • ผู้ป่วยต้องไม่ดื่มสุรา • ผู้ป่วยต้องไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชาและกาแฟ • อาหารสำหรับผู้ป่วยต้องเป็นอาหารเบาๆ ไม่รสจัด หรือเผ็ด • การใช้ยาที่มีผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหารต้องปรึกษาแพทย์ • รับประทานอาหารที่มีกากใยอาหาร เช่น ผลไม้และผักสด • ควรให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารที่ครบห้าหมู่ • รักษาความสะอาดของภาชนะที่มีส่วนในการรับประทานอาหาร และความสะอาดของสิ่งแวดล้อมของผู้ป่วย ที่มา : http://beezab.com/