วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2559

โรคมะเร็ง (Cancer)


เป็นโรคของผู้ใหญ่ แต่พบได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ โดยพบได้สูงในอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ส่วนในเด็กพบน้อยกว่าในผู้ใหญ่ประมาณ 10 เท่า 
               โรคมะเร็งที่พบบ่อยของชายไทย เรียงจากลำดับแรก 10 ลำดับ ได้แก่ โรคมะเร็ง ตับ ปอด ลำไส้ใหญ่ ต่อมลูกหมาก ต่อมน้ำเหลือง เม็ดเลือดขาว กระเพาะปัสสาวะ ช่องปาก กระ เพาะอาหาร และหลอดอาหาร
               โรคมะเร็งพบบ่อยของหญิงไทยเรียงจากลำดับแรก 10 ลำดับ ได้แก่ โรคมะเร็ง เต้านม ปากมดลูก ตับ ปอด ลำไส้ใหญ่รังไข่ เม็ดเลือดขาว ช่องปาก ต่อมไทรอยด์ และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
                โรคมะเร็งพบบ่อยในเด็กไทย เรียงจากลำดับแรก 4 ลำดับ ได้แก่ โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคเนื้องอก/มะเร็งสมอง และโรคมะเร็งนิวโรบลาสโตมา/Neuroblas toma (มะเร็งของประสาทซิมพาทีติก)

วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2559

วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2559

มะเร็งกับสภาวะจิตใจ


          ส่วนที่สำคัญอีกคือด้านจิตใจ ถ้าใจของเราอยู่ในบุญหมั่นนั่งสมาธิ(Meditation)มากๆ พอใจใสจะมีพลังร่างกายจะทำงานอย่างสมดุลและไปจัดการกับเซลล์มะเร็งได้เอง  เพราะร่างกายมีระบบคุ้มกันตัวเองอยู่แล้ว เหมือนทหารถ้าอ่อนแอข้าศึกบุก แต่ถ้าแข็งแรงก้เอาข้าศึกอยู่หมัด บางคนทำเช่นนี้คิดว่าตัวเองต้องเสียชีวิตแต่ปรากฏว่ามะเร็งดีขึ้นหรือหาย  เมื่อทำหลักการทางกายและใจถูกต้องร่างกายจัดการได้ รวมทั้งต้องมีพลังใจและสู้ ฉะนั้นจะตายไม่ตายอยู่ที่ใจของเราทั้งหมด มะเร็งเป็นสิ่งที่คร่าชีวิตคนไปมากมาย ซึ่งบางคนอาจจะคิดว่าเป็นวิถีของชีวิตแต่เรื่องจริงแล้วไม่ใช่วิถีของชีวิตที่แท้จริง

อาหารต้านมะเร็ง


 ถ้าเป็นข้าวให้ทานเป็นข้าวซ้อมมือ เพราะข้าวขัดขาวสารอาหารจำนวนมากที่อยู่ตรงเปลือกข้าวถูกขัดออกไป ให้พยายามใช้วิถีชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ ไม่เฉพาะแค่อาหาร เหล้า เครื่องดื่ม อาหารรสจัดทั้งหลายให้หลีกเลี่ยง

หลักการรักษามะเร็งมีอยู่ 4 อย่างคือ


1.ผ่าตัด เรารู้ว่ามะเร็งคือสิ่งผิดปกติทางพันธุกรรมในเซลล์แล้วขยายมากขึ้นๆ ซึ่งเราเรียกกันว่า เนื้องอก แก้ไขโดยไปตัดเนื้องอกออก แต่สำหรับมะเร็งในระยะต้นเพื่อให้หาย เพราะยังไม่แพร่ไปยังบริเวณอื่นแต่อยู่เฉพาะที่
2.การฉายรังสี เมื่อยิงรังสีเข้าไปจะไปทำงายเซลล์ในจุดที่รังสีโฟกัส ส่วนใหญ่มักใช้ประกอบกับการผ่าตัด เพราะเมื่อผ่าตัดแล้วบางส่วนอาจจะยังไม่หมด ก็ใช้วิธีฉายรังสีฆ่าเซลล์เหล่านั้นซ้ำอีกครั้งหนึ่ง  ซึ่งขึ้นอยู่กับแพทย์ว่าควรฉายรังสีแบบใดและก็แล้วแต่เซลล์ในแต่ละจุด
3.การให้คีโม เคมีบำบัดฉีดและกินเข้าไปเพื่อฆ่าเซลล์ที่มีการแบ่งตัวเยอะๆ เซลล์ที่มีการเจริญเติบโตมาก แต่ผลข้างเคียง คือ เซลล์ปกติที่มีการเจริญเติบโต เช่น เส้นผมก็โดนจัดการไปด้วย มีอาการเบื่ออาหาร ทานข้าวไม่ได้ ใช้ในรายที่มะเร็งกระจายไปหลายที่ไม่ได้อยู่จุดเดียว
4.ฮอร์โมน มะเร็งที่อยู่ในที่ที่สร้างฮอร์โมนจะใช้ตัวฮอร์โมนเข้าไปกำกับมะเร็งอีกทางหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีไหนก็ทรมานเหมือนกัน

มีวิธีการตรวจพบมะเร็งตั้งแต่ระยะเริ่มต้นหรือไม่

              ปัญหาของการตรวจพบมะเร็ง คือ ตรวจพบในระยะสุดท้ายส่วนมาก การตรวจสุขภาพประจำปีช่วยได้บ้าง  แต่ถ้าช่วยได้มากคือการตรวจยีนส์เพื่อดูว่ามีโอกาสเป็นมะเร็งมากน้อยแค่ไหน ยีนส์กลายพันธ์หรือไม่ เพราะมีการกลายพันธุ์ของยีนส์ที่เกิดทีหลัง ซึ่งมีการตรวจได้สามารถเช็คระดับของยีนส์ เป็นการเกิดมะเร็งระยะสูง ซึ่งยังไม่มีการเกิดโรคมะเร็ง แต่เป็นการตรวจหาความผิดปกติในยีนส์

                แต่เป็นการตรวจที่ในเมืองไทยยังไม่คุ้นเคยแต่ในต่างประเทศเป็นแบบมาตรฐาน สำหรับคนที่มีประวัติครอบครัวต้องตรวจทุกคน  และสามารถเลือกได้ว่าจะตัดออกก่อนหรือรอลุ้นว่าเป็นมะเร็งหรือไม่  ซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายแล้ว การตรวจยีนส์ในต่างประเทศเป็นเรื่องการมีข้อมูลเพิ่มขึ้น ศึกษามากขึ้นและนำมาใช้เพื่อให้ชีวิตคนดีขึ้นในแนวป้องกันไม่ให้เกิดก่อน


ภูมิเสริมรักษามะเร็ง

             ภูมิเสริมมีอยู่หลายตัว เช่น ภูมิเสริมจากภายนอก สารสกัดจากเห็ดบางชนิด เห็ดของทิเบตก็มีตัวกระตุ้นภูมิ หรือใช้วิธีดึงภูมิในตัวเราที่ใช้ไม่ได้ดููดเลือดออกมาประมาณ 200cc หลังจากนั้นนำไปเลี้ยงให้แข็งแกร่งขึ้น เพราะไม่สามารถเลี้ยงในตัวได้ เพราะมะเร็งกดไว้อยู่ เมื่อเลี้ยงจนขนาดเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 100-1,000 เท่าให้แข็งแรงและดุต่อเชื้อมะเร็ง โดยการนำเชื้อมะเร็งมาทดสอบ  เมื่อแข็งแกร่งดีแล้วก็ใส่เข้าไปใหม่เป็นวิธีที่ญี่ปุ่นใช้กันเยอะมาก ซึ่งในเมืองไทยเราก็เริ่มมี

ถ้ารู้ตัวว่าเป็นมะเร็งมีวิธีการรักษาอย่างไร


การผ่าตัดใช้ได้เฉพาะมะเร็งระยะเริ่มต้น
           
        การรักษามะเร็งปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะวิธีผ่าตัดเคมี ฉายแสงให้ฮอร์โมนต่างๆเหล่านี้ยังไม่ได้ผลที่ดีเท่าไหร่ มะเร็งในระยะต้นเมื่อผ่าตัดแล้วมักจะได้ผล คือ ระยะ 1-2 หายขาดได้ แต่ถ้าเป็นระยะท้ายๆ รักษาไม่ได้ผลเลย

         ปัจจุบันนี้เคยทีการรักษาครั้งใหญ่ โดยให้คนที่เป็นมะเร็งทั่วสหรัฐอเมริกาและออสเตรียรวมกันแล้วทำวิจัยดูความต่างระหว่างรักษากับไม่รักษามีผลต่างกันอย่างไร ซึ่งผลที่ออกมาต่างกันเพียงแค่ 5%เท่านั้น คือ มีโอกาสรอดเพิ่มขึ้นเพียง 5 % เท่านั้น

       การรักษามะเร็งในยุคปัจจุบัน ต้องบูรณาการ ทำแต่วิธีเดียวไม่ได้ ต้องร่วมกับการประกอบหลายๆอย่าง การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตตัวเอง บางรายอาจใช้เป็นการเปลี่ยนอาหารใหม่ บางรายใช้สมุนไพร ซึ่งก็แล้วแต่เทคนิคต่างๆ โดยเฉพาะที่สถาบันในประเทศเยอรมันที่เน้นการรักษามะเร็งครบวงจรบูรณาการ คือ ไม่เอาเฉพาะปัจจุบัน 4 อย่าง ก็มีส่วนที่เพิ่มเข้ามาด้วย เช่น การใช้ความร้อน รักษาด้านจิตใจ การรักษาด้วยภูมิต้านทานวิทยาซึ่งเป็นแนวใหม่ ปัจจุบันเรื่องของภูมิต้านทานเป็นการรักษาของอนาคต  หาวิธีเสริมภูมิต้านทานและไปกำจัดเชื้อมะเร็งด้วยตัวเอง

ผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็ง

          ทุกคนมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งได้ทุกคน เพราะปัจจุบันนี้สิ่งแวดล้อมมีพิษมาก ส่วนคนที่ประวัติในครอบครัวเป็นมะเร็งก็เพิ่มโอกาสเสี่ยงขึ้นไปอีก  ผู้ที่ชอบทานอาหารที่มีสารอนุมูลอิสระเยอะ เช่น ของร้อน ของทอด ของปิ้งย่างก็เพิ่มความเสี่ยงคูณเข้าไปอีก ทานผักที่ปนเปื้อนยาฆ่าแมลงก็คูณเพิ่มไปอีก  สำหรับคนที่ชอบทานปลาเพราะเป็นอาหารสุขภาพ แต่ปลาในปัจจุบันมีปรอทอยู่ทุกตัว ซึ่งความจริงแล้วเป็นไบโอเอ็กซ์ซีมูเลชั่น คือ โรงงานผลิตสารพิษเข้าสู่อากาศเมื่อฝนตกลงมาในดิน  แล้วดินชะล้างจากน้ำจืดแล้วลงไปสู่น้ำทะเล เพราะฉะนั้นตอนนี้ปลา 100% ที่มีสารปรอททุกตัวและมีมากน้อยต่างกัน ถ้าเป็นปลากินเนื้อ เช่น ปลากินปลาด้วยกัน ก็มีสารปรอทมากกว่าเนื่องจากภาวะ ไบโอเอ๊กซีมูเลท ที่สะสมเพิ่มขึ้น

จะพบแพทย์ขอตรวจโรคมะเร็งได้อย่างไร


 การเตรียมตัวพบแพทย์เพื่อตรวจ และ/หรือ รักษา โรคมะเร็ง ได้แก่
-          เตรียมเอกสารสิทธิต่างๆให้พร้อม
-          เอกสาร/ยา/ผลตรวจต่างๆ/เอกซเรย์ เมื่อเคยรักษาโรคต่างๆมาก่อน รวมทั้งใบส่งตัวจากต้นสังกัด หรือ จาก แพทย์ต้นสังกัด (เมื่อเป็นการส่งตัวรักษาต่อ)
-          ใส่เสื้อผ้า รองเท้า ที่สวมสบาย เปลี่ยน ถอดง่าย เพราะในการตรวจอาจต้องมีการเปลี่ยนเสื้อผ้า  รองเท้า
-          สมุดจดบันทึก เพื่อจดบันทึกสิ่งที่แพทย์แนะนำ หรือ ต้องการเพิ่มเติม รวมทั้งจดบันทึกคำถามต่างๆ  ที่ต้องการถามแพทย์
-           ญาติสายตรงอย่างน้อย 1 คน (สามี ภรรยา บิดา มารดา หรือ บุตรที่บรรลุนิติภาวะแล้ว) กรณีพบแพทย์เพื่อการรักษา ทั้งนี้เพื่อร่วมปรึกษา รับฟัง และเซ็นยินยอมรักษา
-            งดอาหาร และน้ำดื่ม อย่างน้อย 8 ชั่วโมง เผื่ออาจมีการตรวจเลือดเพิ่มเติม

มีวิธีป้องกันโรคมะเร็งไหม


 ปัจจุบัน วิธีป้องกันโรคมะเร็งที่ดีที่สุด คือ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง ที่หลีกเลี่ยงได้ ดังกล่าวแล้ว ซึ่งที่สำคัญ คือ
-            กินอาหารมีประโยชน์ครบทั้ง 5 หมู่ทุกวัน ในปริมาณที่เหมาะสม คือ ไม่ให้อ้วนหรือ ผอม เกินไป  โดยจำกัดเนื้อแดงแป้ง น้ำตาล ไขมัน เกลือ แต่เพิ่มผัก ผลไม้ให้มากๆ
-            ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสุขภาพ สม่ำเสมอ
-            รับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งชนิดมีประสิทธิภาพดังได้กล่าวแล้ว
-            หลีกเลี่ยงสารก่อมะเร็ง

มีวิธีตรวจคัดกรองโรคมะเร็งไหม


          การตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง คือ การตรวจให้พบโรคมะเร็งตั้งแต่ระยะยังไม่มีอาการ (มักเป็นมะเร็งในระยะ 0 หรือระยะ 1) ทั้งนี้เพราะโรคมะเร็งในระยะนี้ มีโอกาสรักษาได้หายสูงกว่าโรคมะเร็งในระยะอื่นๆ
       การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งที่มีประสิทธิภาพ คือ การตรวจที่เมื่อพบโรคแล้ว ภายหลังการรักษา ผู้ป่วยจะมีอัตรารอดจากโรคมะเร็งสูงขึ้น หรือมีอัตราเสียชีวิตจากโรคมะเร็งลดลงนั่นเอง
         ปัจจุบัน การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งที่มีประสิทธิภาพ คือ ตรวจคัดกรองโรค มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม และมะเร็งลำไส้ใหญ่ ส่วนการตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง ตับ ปอด ต่อมลูก หมาก และรังไข่ ยังมีการถกเถียงกันอยู่ในหมู่แพทย์ ถึง ข้อดี ข้อเสีย และผลข้างเคียงจากการตรวจ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการตรวจว่า เหมาะสมหรือไม่ อย่างไร และควรให้การตรวจเฉพาะกับบุคคลกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเหล่านี้ หรือให้การตรวจได้กับคนทั่วไป

รักษาโรคมะเร็งได้อย่างไร


         วิธีรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบัน ได้แก่ ผ่าตัด รังสีรักษา ยาเคมีบำบัด ยาฮอร์โมน ยารักษาตรงเป้า รังสีร่วมรักษา และการรักษาประคับประคองตามอาการด้วยอายุรกรรมทั่วไป
การรักษาโรคมะเร็งอาจเป็นวิธีใดวิธีเดียว หรือ หลายวิธีร่วมกัน ทั้งนี้ขึ้นกับ
-          ระยะโรค
-          ชนิดของเซลล์มะเร็ง
-           เป็นมะเร็งของเนื้อเยื่อ/อวัยวะใด
-           ผ่าตัดได้หรือไม่ หลังผ่าตัด ยังคงหลงเหลือก้อนมะเร็งหรือไม่
-           ผลพยาธิวิทยาชิ้นเนื้อหลังผ่าตัดเป็นอย่างไร
-           อายุ และ   สุขภาพผู้ป่วย

โรคมะเร็งมีกี่ระยะ


       ระยะโรคมะเร็ง คือ ตัวบอกความรุนแรงของโรค (การลุกลามและแพร่กระจาย) บอกแนว ทางการรักษา และแพทย์ใช้ในการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็ง
                โดยทั่วไปโรคมะเร็งมี 4 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1-4 ซึ่งทั้ง 4 ระยะ อาจแบ่งย่อยได้อีกเป็น เอ (A)บี (B) หรือ ซี (C) หรือ เป็น หนึ่ง หรือ สอง เพื่อแพทย์โรคมะเร็งใช้ช่วยประเมินการรัก ษา ส่วน โรคมะเร็งระยะศูนย์ (0) ยังไม่จัดเป็นโรคมะเร็งอย่างแท้จริง เพราะเซลล์เพียงมีลักษณะเป็นมะเร็ง แต่ยังไม่มีการรุกราน (Invasive) เข้าเนื้อเยื่อข้างเคียง

-         ระยะที่ 1: ก้อนเนื้อ/แผลมะเร็งมีขนาดเล็ก ยังไม่ลุกลาม
-        ระยะที่ 2: ก้อน/แผลมะเร็งขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มลุกลามภายในเนื้อเยื่อ/อวัยวะ
-        ระยะที่ 3: ก้อน/แผลมะเร็งขนาดใหญ่ขึ้น เริ่มลุกลามเข้าเนื้อเยื่อ/อวัยวะข้างเคียง และลุกลามเข้า    ต่อมน้ำเหลือง  ที่อยู่ใกล้เนื้อเยื่อ/อวัยวะที่เป็นมะเร็ง
-        ระยะที่ 4: ก้อน/แผลมะเร็งขนาดโตมาก และ/หรือ ลุกลามเข้าเนื้อเยื่อ/อวัยวะข้างเคียง จนทะ ลุ และ/ หรือ เข้าต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้ก้อนมะเร็ง โดยพบต่อมน้ำเหลืองโตคลำได้ และ/หรือ มีหลากหลาย        ต่อม และ/หรือ แพร่กระจายเข้ากระแสโลหิต และ/หรือ หลอดน้ำเหลือง/กระแสน้ำเหลือง ไปยังเนื้อเยื่อ/อวัยวะที่อยู่ไกลออกไป เช่น ปอด ตับ สมองกระดูก ไขกระดูก ต่อมหมวกไต ต่อมน้ำเหลือง ในช่องท้อง ในช่องอก และ/หรือ ต่อมน้ำเหลืองเหนือกระดูกไหปลาร้า

แพทย์รู้ได้อย่างไรว่าผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง


       แพทย์วินิจฉัยโรคมะเร็งได้จาก ประวัติอาการต่างๆของผู้ป่วย การตรวจร่างกาย การตรวจภาพเนื้อเยื่อ/อวัยวะที่มีอาการด้วยเอกซเรย์ หรือ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ เอมอาร์ไอ แต่ที่ให้ผลแน่นอน คือ เจาะ/ดูดเซลล์จากก้อนเนื้อเพื่อการตรวจทางเซลล์วิทยา หรือ ตัดชิ้นเนื้อจากก้อนเนื้อเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา (ตรวจโดยแพทย์เฉพาะทางพยาธิวิทยา)

โรคมะเร็งมีอาการอย่างไร

         ไม่มีอาการเฉพาะของโรคมะเร็ง แต่เป็นอาการเช่นเดียวกับการอักเสบของเนื้อเยื่อ/อวัยวะที่เป็นมะเร็ง โดยที่แตกต่างคือ มักเป็นอาการที่เลวลงเรื่อยๆและเรื้อรัง ดังนั้นเมื่อมีอาการต่างๆนานเกิน 1-2สัปดาห์ จึงควรรีบพบแพทย์ อย่างไรก็ตาม อาการที่น่าสงสัยว่าเป็นมะเร็ง ได้ แก่
-         มีก้อนเนื้อโตเร็ว หรือ มีแผลเรื้อรัง ไม่หายภายใน 1-2 สัปดาห์หลังการดูแลตนเองในเบื้องต้น
-      มีต่อมน้ำเหลืองโต คลำได้ มักแข็ง ไม่เจ็บ และโตขึ้นเรื่อยๆ
-     ไฝ ปาน หูด ที่โตเร็วผิดปกติ หรือ เป็นแผลแตก
-     หายใจ หรือ มีกลิ่นปากรุนแรงจากที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
-     เลือดกำเดาออกเรื้อรัง มักออกเพียงข้างเดียว (อาจออกทั้งสองข้างได้)
-     ไอเรื้อรัง หรือ ไอเป็นเลือด
-      มีเสมหะ น้ำลาย หรือ เสลดปนเลือดบ่อย
-      อาเจียนเป็นเลือด
-      ปัสสาวะเป็นเลือด
-      ปัสสาวะบ่อย ขัดลำ ปัสสาวะเล็ด โดยไม่เคยเป็นมาก่อน
-      อุจจาระเป็นเลือด มูก หรือ เป็นมูกเลือด
-      ท้องผูก สลับท้องเสีย โดยไม่เคยเป็นมาก่อน
-      มีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ หรือ มีประจำเดือนผิดปกติ หรือมีเลือดออกทางช่องคลอด  ในวัยหมดประจำเดือนหรือ หลังมีเพศสัมพันธ์ทั้งที่ไม่เคยมีมาก่อน
-      ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นอึดอัดท้อง โดยไม่เคยเป็นมาก่อน
-      มีไข้ต่ำๆหาสาเหตุไม่ได้
-      มีไข้สูงบ่อย หาสาเหตุไม่ได้
-      ผอมลงมากใน 6 เดือน มักตั้งแต่ 10%ขึ้นไปของน้ำหนักตัวเดิม
-      มีจ้ำห้อเลือดง่าย หรือ มีจุดแดงคล้ายไข้เลือดออกตามผิวหนังบ่อย
-      ปวดศีรษะรุนแรงเรื้อรัง หรือ แขน/ขาอ่อนแรง หรือ ชักโดยไม่เคยชักมาก่อน
-      ปวดหลังเรื้อรัง และปวดมากขึ้นเรื่อยๆ อาจร่วมกับ แขน/ขาอ่อนแรง

โรคมะเร็งต่างจากเนื้องอกอย่างไร

       โรคมะเร็งต่างจากเนื้องอกที่ ก้อนเนื้อ หรือ แผลมะเร็ง โตเร็ว ลุกลามเข้าอวัยวะข้างเคียง เข้าต่อมน้ำเหลือง และแพร่กระจายเข้าหลอดเลือด/กระแสโลหิต/กระแสเลือด และหลอดน้ำ เหลือง/กระแสน้ำเหลือง ไปยังเนื้อเยื่อ/อวัยวะต่างๆได้ทั่วร่างกาย โดยมักแพร่สู่ ปอด ตับ สมอง กระดูก และไขกระดูก ดังนั้นโรคมะเร็งจึงเป็นโรคเรื้อรัง รุนแรง มีการรักษาที่ซับซ้อนและต่อเนื่อง
       โรคเนื้องอก ได้แก่ มีก้อนเนื้อผิดปกติ แต่โตช้า ไม่ลุกลามเข้าเนื้อเยื่อ/อวัยวะข้างเคียง เพียงกด หรือ เบียดเมื่อก้อนโตขึ้น ไม่ลุกลามเข้าต่อมน้ำเหลือง ไม่แพร่กระจายทางกระแสโลหิต และทางกระแสน้ำเหลือง จึงเป็นโรคมักรักษาได้หายโดยเพียงการผ่าตัด
ที่มา : http://haamor.com/th/มะเร็ง/

โรคมะเร็งเกิดได้อย่างไร

       สาเหตุของโรคมะเร็งยังไม่ชัดเจน แต่แพทย์พบปัจจัยเสี่ยงได้หลายปัจจัยเสี่ยง และเชื่อว่า สาเหตุน่ามาจากหลายๆปัจจัยเสี่ยงร่วมกัน โอกาสเกิดจากปัจจัยเดียวพบได้น้อยมาก โดยปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคมะเร็ง ได้แก่
-     มีพันธุกรรมผิดปกติ เป็นได้ทั้งพันธุกรรมที่ถ่ายทอดได้ หรือ พันธุกรรมชนิดไม่ถ่ายทอด
-      สูบบุหรี่
-      ดื่มสุรา
-      ขาดสารอาหาร
-      ขาดการกินผัก และผลไม้
-      กินอาหารไขมัน และ/หรือ เนื้อแดงสูงต่อเนื่อง เป็นประจำ
-      การสูดดมสารพิษบางชนิดเรื้อรัง เช่น สารพิษในควันบุหรี่  สารก่อมะเร็ง หรือ สัมผัสสารก่อมะเร็งอย่างต่อเนื่องโดย เฉพาะในปริมาณสูง       (Carcinogen)
(แหล่งที่มา http://en.wikipedia.org/wiki/carcinogen)
-      ร่างกายได้รับโลหะหนักเรื้อรังจาก การหายใจ อาหาร และ/หรือ น้ำดื่ม เช่น สารปรอท
-      ติดเชื้อไวรัสบางชนิด เช่น ไวรัส เอชไอวี (HIV) ไวรัส เอชพีวี (HPV)
-      ติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น เชื้อเอชไพโลริในกระเพาะอาหาร (โรคติดเชื้อเอชไพโลไร)
-      ติดเชื้อพยาธิบางชนิด เช่น พยาธิใบไม้ตับ
-      การใช้ยาฮอร์โมนเพศต่อเนื่อง
ที่มา : http://haamor.com/th/มะเร็ง/

โรคมะเร็งคือโรคอะไร

         โรคมะเร็ง คือ โรคซึ่งเกิดมีเซลล์ผิดปกติขึ้นในร่างกาย และเซลล์เหล่านี้มีการเจริญเติบ โตรวดเร็วเกินปกติ ร่างกายควบคุมไม่ได้ ดังนั้นเซลล์เหล่านี้ จึงเจริญลุกลามและแพร่กระจายได้ทั่วร่างกาย ส่งผลให้เซลล์ปกติของเนื้อเยื่อ/อวัยวะต่างๆทำงานไม่ได้ จึงเกิดเป็นโรค และมีอาการต่างๆขึ้น และเมื่อเป็นมะเร็งของอวัยวะสำคัญ หรือ มะเร็งแพร่กระจายเข้าอวัยวะสำคัญ อวัยวะเหล่านั้นจึงล้มเหลว ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ เป็นสาเหตุให้เสียชีวิตในที่สุด ได้แก่ ปอด ตับ สมอง ไตกระดูก และไขกระดูก
ที่มา : http://haamor.com/th/มะเร็ง/

บทนำ

    โรคมะเร็ง (Cancer) เป็นโรคของผู้ใหญ่ แต่พบได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ โดยพบได้สูงในอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ส่วนในเด็กพบน้อยกว่าในผู้ใหญ่ประมาณ 10 เท่า
    โรคมะเร็งที่พบบ่อยของชายไทย เรียงจากลำดับแรก 10 ลำดับ ได้แก่ โรคมะเร็ง ตับ ปอด ลำไส้ใหญ่ ต่อมลูกหมาก ต่อมน้ำเหลือง เม็ดเลือดขาว กระเพาะปัสสาวะ ช่องปาก กระ เพาะอาหาร และหลอดอาหาร    โรคมะเร็งพบบ่อยของหญิงไทย เรียงจากลำดับแรก 10 ลำดับ ได้แก่ โรคมะเร็ง เต้านม ปากมดลูก ตับ ปอด ลำไส้ใหญ่รังไข่ เม็ดเลือดขาว ช่องปาก ต่อมไทรอยด์ และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง  
     โรคมะเร็งพบบ่อยในเด็กไทย เรียงจากลำดับแรก 4 ลำดับ ได้แก่ โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคเนื้องอก/มะเร็งสมอง และโรคมะเร็งนิวโรบลาสโตมา/Neuroblas toma (มะเร็งของประสาทซิมพาทีติก)

http://www.vcharkarn.com/uploads/images/index.jpg